เจ้าของโกดังโรงเกลือร้อง อ้างกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าเขมรข่มขู่ หลังแจ้งความเอาผิด เรื่องชักดาบไม่จ่ายเงินค่าสินค้าที่นำไปขาย กว่า 2 ล้าน
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยถึงกรณี เจ้าของโกดังโรงเกลือร้อง อ้างกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ามาเฟียเขมรข่มขู่
โดย คุณสิริษา บริสุทธิ์ เจ้าของโกดัง ผู้ร้องเรียน เผยว่า ตนเองมีร้านโกดังเสื้อผ้า ตามใบอนุญาตขายของตามจังหวัดต่างๆ แล้วมีโกดังสินค้า เพื่อปล่อยขายเสื้อผ้าในตลาดโรงเกลือ ซึ่งตนเองเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ไม่ได้ลงพื้นที่ไปคุม หรือแสดงตัวแต่อย่างใด ให้ทางลูกจ้างชื่อ วันดี เป็นคนคอยควบคุม พูดคุยและติดต่อปล่อยสินค้า ให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ทั้งคนไทย และคนเขมร
ต่อมาตนเองก็เห็นว่า พักหลังคู่กรณีเขาเข้ามาสั่งสินค้า แล้วของในสินค้าลดลงไปเยอะ แต่เงินที่ได้กลับมาแทบไม่มีเลย จึงเรียกวันดีเข้ามาพบ ทวงถามเงินที่ควรจะได้ เขาก็กลับไปเคลียร์เกือบอาทิตย์หนึ่ง แล้วจึงสารภาพว่าไม่สามารถเก็บเงินใครได้เลย พร้อมกับฝากฟังให้ดูแลคนในครอบครัว พอวันถัดมาเขาก็กินใจ เพื่อจะฆ่าตัวตาย เพราะหาเงินมาคืนตนไม่ได้ จึงบอกให้เขาใจเย็นและนั่งไล่เรียงเหตุการณ์กัน
...
ด้าน วันดี ลุงจาง ลูกจ้างของผู้ร้อง เผยว่า เวลาเฝ้าของที่โกดัง กลุ่มพ่อค้า แม่ค้าจะมารับของไปขายต่อ ในบางครั้งก็ไม่ได้จ่ายเงินสด รับไปก่อนแล้วนำไปขาย บางทีเขาเอาของไปขายไม่ได้ ก็จะจ่ายเงินไม่เต็มจำนวน จ่ายเงินตามสินค้าที่ขายได้ แล้วก็จะทยอยๆ จ่ายมา แต่ในทุกๆ ปี จะให้ปิดยอดในช่วงก่อนตรุษจีน โดยต้องยึดทางเจ้าของ เพราะเขาจะเอาเงินไปเคลียร์กับเพื่อนชาวจีนที่ปล่อยสินค้ามาขายอีกทอด
คุณสิริษา กล่าวต่อว่า เวลาเราบอกวันดี คือ หากจะปล่อยของ ต้องปล่อยไปเยอะ ให้ทางพ่อค้าแม่ค้ามีตัวลูกไปขายสินค้าเยอะ ทำให้เวลาใครมารับไปขาย ก็ปล่อยของออกไปเลย ใครมาเอาก็ปล่อยไป ยังไม่จ่ายเงินก็ได้ ขอแค่ให้รู้ว่าคนขายอยู่ล็อกไหน แล้วค่อยมาเคลียร์กันช่วงสิ้นปี ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหา เพราะทุกคนมีเครดิตดี เราก็ไว้ใจ หากสุดท้ายสิ้นปี ยังหาเงินมาคืนไม่ได้ เราก็ต้องดูก่อนว่าเขาจ่ายเงิน หรือ จะคืนสินค้า แต่เคสนี้เกิดปัญหา คือเขาไม่เคลียร์เงินที่ติดไว้เลยตั้งแต่ช่วงโควิด ปี 64 ทางวันดีก็เพิ่งมาบอกความจริงกับเรา แล้วก็ให้เขาทยอยให้ จนถึงตอนที่เราจะเคลียร์ ก็มีการทักมาข่มขู่วันดีบอกมาจ่ายที่ 2 แสนให้เรื่องมันจบไปเคลียร์กันที่โรงพัก
ในตอนแรกตนเองขอสินค้าคืน แล้วเขาก็เอา 2 แสนมาให้ พร้อมกับเซ็นลงบันทึกประจำวันกันที่โรงพักต่อหน้าตำรวจ ซึ่งทางตำรวจก็อ่านบันทึกนั้นอยู่ 2 รอบ แต่พอกลับไปถึงบ้าน ทางคู่กรณีก็ทักมาโวยวาย เรื่องที่ในบันทึกประจำวันมีการระบุไว้ชัดเจนว่า "จะดำเนินคดีต่อ"
แล้วมาโวยวายถามหาตนกับทางลูกจ้างที่โกดัง บอกว่าจะต้องแก้สัญญาให้จบหนี้กันที่ 2 แสน ซึ่งตนก็ไม่ยอม แล้วได้เดินทางกลับไปที่บ้าน พอกลับไปที่โกดังอีกครั้งก็พบว่า รถโดนกรีดเรียบร้อยแล้ว แถมยังมีการเอารูปตนเองไปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก บอกว่าใช้หนี้เสร็จแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่อง เพราะมีการมาข่มขู่หน้าโกดังบอกว่า "ถ้ามาเมื่อไหร่ เจอแน่" ยังไม่พอจะไปแจ้งความตนเองว่า ไปขู่กรรโชกเขา ทั้งๆ ที่เขาติดหนี้ ส่วนเรื่องรถที่ถูกกรีด ตนเองมั่นใจว่าเขาเป็นคนทำ เพราะอยู่มา 30 ปี ไม่เคยมีปัญหากับใคร ล่าสุดทางตำรวจก็โทรมาแจ้งว่าทางคู่กรณีได้ฟ้องกลับตนแล้ว ในข้อหาที่กล่าวหาว่าเขาเป็นมาเฟีย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เผยว่ากรณีแบบนี้โดยปกติเป็นคดีส่วนแพ่ง เพราะเป็นการซื้อของ ส่วนในเรื่องการทำธุรกิจ ก่อนที่เราจะทำธุรกิจกับใครก็ต้องศึกษาข้อมูลก่อน เราก็ต้องดูเรื่องของความเสี่ยงภัย
ซึ่งหากเขาเอาของไปแล้วไม่จ่าย ก็ใช้สิทธิ์ทางแพ่งไปฟ้องศาลแพ่ง แต่ไม่ควรมาทะเลาะ หรือข่มขู่กันในลักษณะแบบนี้ ซึ่งหากมีการฟ้องร้องกันขึ้นมาจริงๆ ในกรณีนี้ที่เขาเป็นชาวกัมพูชา เราก็ไปดูด้วยว่า เขามีที่อาศัยในไทยไหม ซึ่งเรื่องนี้ทางคนร้อง ก็มองว่ามันไม่แฟร์ เพราะหากไม่มีทรัพย์สินในไทย แล้วเขาไม่จ่ายเงินก็ไม่สามารถทำอะไรได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ต้องใช้สิทธิ์ทางศาลในการแจ้งเรียกร้องให้จ่ายหนี้ ซึ่งหากชนะคดี ก็ต้องไปดูสภาพบังคับ ว่าเขามีทรัพท์สินในไทยไหม หากไม่มี จะใช้กฎหมายไปบังคับบ้านเขาก็คงเป็นไปไม่ได้.
อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.