ผศ.นพ.สุรัตน์ อธิบาย "ฝ่ามือพลังจิต" ตามหลักวิทยาศาสตร์ เหตุใด รักษาแต่ อาการปวด และอาการทางสายตา 

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 มีรายงานว่า ผศ.นพ.สุรัตน์ ตันประเวช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและระบบประสาท ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอธิบายเรื่อง "ฝ่ามือพลังจิต" ของอาจารย์ชื่อดังในโซเชียลในแง่ของหลักวิทยาศาสตร์

โดยระบุข้อความว่า "ทำไม อจ.เอก ฝ่ามือพลังจิต รักษาได้แต่ อาการปวด และอาการทางสายตาครับ? ไม่ไปรักษามะเร็ง โรคผิวหนัง โรคอัมพาตบ้าง อธิบายง่ายๆ  เพราะอาการทั้งสองนี้ เอามือลูบคลำ กระทำโดยแตะเหยียบ มันมี placebo effect เยอะไงหละครับ  

อจ.เรียนประวัติศาสตร์แพทย์มา สมัยก่อน ฝรั่งก็มีพวกนี้ครับ การรักษาที่ใช้ placebo effect แต่ไม่ใช้หลักวิทยาศาตร์ เรียก Quackery medicine ใช้ ไฟฟ้าช็อตบ้าง เอาอะไรมาเคาะๆ บ้าง หรือใช้สารแปลกๆ ไปจนถึง พวก บางส่วนของ homeopathy กินฉี่ตัวเอง 

อธิบายทำไม อจ.เอก ใช้รักษาแค่การมอง และบรรเทาความปวด 

1. placebo effect คือ ปรากฏการณ์ยาหลอก ที่เมื่อคนไข้ได้รับเม็ดยาที่จริงมีแต่แป้ง หรือการกระทำต่อคนไข้ที่ไม่มีการรักษาจริง ที่เรียกว่า sham มันจะมีการตอบสนองของร่างกายต่อการรักษาหลอก ให้ร่างกายรักษาตัวเอง 

2. การรักษาหลอกแบบนี้ ทางการแพทย์เรารู้ว่า สมองหลังสารเคมี เช่น endophine, dopamine ออกมา รักษาตัวเอง ให้ดีขึ้นชั่วคราว 

3. อาการที่ตอบสนองแบบยาหลอกนี้ เป็นอาการส่วนประสาทรับความรู้สึกมากที่สุด ได้แก่ ความรู้สึกปวด (pain) และส่วนการรับรู้ภาพ ได้แก่การมองเห็น (visual perception) เพราะ ร่างกายหลั่งสารระงับปวดธรรมชาติ natural analgesuc effect ในตัวเอง 

มีงานวิจัย เอาคนตาบอด ตาเสีย มาทำการ train ที่มันไม่มีผลทางวิทยาศาสตร์จริง พบว่าการมองเห็นรู้สึกดีขึ้นได้ แต่มันจะไม่มาก และไม่ถาวรนะครับ 

...

อาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ยิ่งแล้วใหญ่ เอาเข็ม แตะๆ ผิวหนัง เป็นการรักษาหลอก อาการปวดจะดีขึ้น 30% 

แล้วหากอยาก ทำการทดลองว่า อจ.เอก มีฝ่ามือพลังจิตจริงไหม เราต้องเข้าการทดลองแบบวิทยาศาสตร์ครับ ไม่ใช่ เอาคนไปนั่งๆ แล้ว ให้ อจ.เอกมาเอามือๆ ปัดๆ แบบทั่วไป ทำแบบนี้ครับ double blind placebo controlled trial การวิจัยแบบปกปิด 2 ทาง 

1. เอาคนมา สองคน เป็นโรคปวดในระดับเท่าๆ กันมานั่ง แล้ววัดระดับความปวด

2. เอาผ้าปิดตาคนไข้ เพื่อไม่ให้รู้ว่าคนไหน คือ อจ.เอก 

3. เอา อจ.เอกฝ่ามือเทวดา กับคนปกติ มาลูบๆ ทั้ง 2 คนพร้อมกัน พร้อมเปิดเสียง อื้อๆ อื้อๆ จาก เสียงที่อัดไว้ 

4. เปิดตามาให้วัดระดับความปวดอีกที

ทำกับกลุ่ม แบบนี้สัก 20 คน ก็รู้แล้ว ว่าของจริงไหมครับ จะได้ ไม่เป็นแหล่งงมงาย

ข้อมูลจาก แฟนเพจ สาระสมองกับ อจ.หมอสุรัตน์