เจ้าหน้าที่แจงดราม่า หลังญาติโพสต์โวย ไม่มีคนให้บริการ "ผู้ป่วยฉุกเฉิน" ยันมีเจ้าหน้าที่อยู่ แต่กดกริ่งไม่ดัง ด้าน สสจ.กระบี่ ลงพื้นที่ขอโทษ และพูดคุยกับผู้เสียหายแล้ว

เรียกได้ว่าเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อสาวผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ระบายความรู้สึกถึงการให้บริการของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ โดยระบุข้อความว่า ประกาศๆ ..ถ้าใครเจ็บไข้อาการหนัก หรือใกล้ตาย อย่าได้ไปโรงพยาบาล... ตอนตี 2 ตี 3 เชียวนะ ไม่งั้นตายแน่นอน 

เมื่อคืนนี้ฉันเพิ่งเจอมากับตัว พาพี่ชายไปหาหมอ ด้วยอาการหืดหอบ เลือกโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุด ไปให้ถึงเร็วที่สุด เพราะอาการค่อนข้างหนัก ถึงประมาณตอนตี 2 ครึ่ง เจอป้ายต้อนรับนี้ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ (ช่วงเวลานั้นเขาคงหลับ) เพราะไม่เห็นคน หรือแม้แต่หมาสักตัวยังไม่มีเลย

ฉันพยายามร้องขอความช่วยเหลือ กดกริ่งตามป้ายที่เขาบอกหลายรอบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ โทรเข้าเบอร์ฉุกเฉิน ที่แปะไว้ก็ไม่มีเสียงตอบรับเช่นกัน เดินเข้าไปเคาะประตูห้องฉุกเฉิน ก็ไม่มีคนตอบ ลองผลักเข้าไปห้องล็อกอีก ประตูห้องฉุกเฉินปิด 

ยามนี้คนป่วยรอไม่ได้ ฉันเลยบึ่งรถไปขอความช่วยเหลือหมอที่โรงพยาบาลทับปุด จ.พังงา ที่นี่ได้รับการบริการทันท่วงที หมอพยาบาลช่วยดูแลอย่างดี ฉีดยา พ่นยา 3 ครั้ง จนพี่ชายอาการดีขึ้น ตี 5 ได้กลับบ้าน มันคือประสบการณ์เฉียดตายของพี่ชาย ที่อยากถ่ายทอด

อยากบอกคนที่ไปใช้บริการว่า ถ้าอาการหนัก หรือรอนานไม่ไหว หรือกำลังจะตาย อย่าไปโรงพยาบาลนี้ ช่วงเวลานี้ มันน่ากลัวมาก อย่าหวังพึ่งหมอ พึ่งเจ้าหน้าที่ที่นี่เด็ดขาด มิเช่นนั้นท่านอาจจะถึงชีวิต!! สำหรับฉันเข็ดแล้ว

...

ซึ่งหลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น และวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

ล่าสุดวันนี้ (12 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่โรงพยาบาลปลายพระยา จ.กระบี่ เพื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่อธิบายว่า ในคืนเกิดเหตุทางญาติผู้ป่วยน่าจะกดกริ่งแบบไม่กดแช่ไว้ ทำให้เสียงกริ่งไม่ทำงาน ยืนยันว่าวันดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน

แต่กริ่งที่ติดไว้ตรงป้าย หากจะให้เสียงดังทำงาน ต้องกดแช่ไว้สักนิด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทางโรงพยาบาลได้ทำการติดตั้งปุ่มกดกริ่งเพิ่มให้อีก 1 จุด ตรงปากทางเข้าห้องฉุกเฉิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วย และญาติ

ด้าน น.ส.เบญจรัตน์ สินสงวน อายุ 49 ปี ชาว ต.เขาต่อ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ผู้โพสต์ เผยว่า คืนเกิดเหตุเป็นช่วงตี 2 ของวันที่ 10 พ.ย. พี่ชายของเธอคือ นายเฉลิม สินสงวน อายุ 57 ปี มาบอกเธอว่ามีอาการหายใจไม่ออก เพราะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด ตอนนั้นเธอตกใจมาก เพราะอาการค่อนข้างหนัก จึงรีบขับรถพาพี่ชายไปโรงพยาบาลกัน 2 คน 

แต่พอไปถึง กลับไม่พบเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเลย ไม่มีเจ้าหน้าที่เวรเปล เจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉิน หรือแม้แต่ รปภ. แต่เห็นป้ายเขียนบอกให้กดกริ่งเรียก ตนจึงกดกริ่ง แต่ก็ไม่มีใครออกมา พยายามผลักประตูห้องฉุกเฉิน ประตูก็ล็อก

ตอนนั้นคิดว่าหากช้า พี่ชายอาจไม่รอด เพราะเริ่มหายใจไม่ออก จึงตัดสินใจพาพี่ชายขึ้นรถ ขับไปที่โรงพยาบาลทับปุด ห่างไปราว 37 กม. ใช้เวลาอีก 20 นาที จนทางโรงพยาบาลทับปุด ช่วยรักษาอาการจนดีขึ้น

ต่อมาจึงนำเรื่องดังกล่าวมาโพสต์ เพื่ออยากให้โรงพยาบลปลายพระยา และโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ปรับปรุงการให้บริการ กรณีฉุกเฉินแบบนี้ด้วย เท่าที่เคยเจอมา แต่ละโรงพยาบาลจะมีเจ้าหน้าที่เวรอยู่ประจำ

อาจจะมีบ้างที่เจ้าหน้าที่เวรจะนอนพัก ซึ่งตนเข้าใจได้ แต่ต้องพร้อมที่จะให้บริการ ถ้ามีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามา ซึ่งหลังตนโพสต์ไป ก็มีชาวบ้านหลายคนเข้ามาแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐ ตนจึงถือว่าตนพูดแทนชาวบ้านทุกคน

ขณะที่ นายเฉลิม ผู้เป็นพี่ชาย เผยด้วยว่า วันเกิดเหตุ ตนมีอาการหายใจไม่ออก ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไปหาหมอในตอนเช้า แต่พอตกดึกอาการรุนแรงขึ้น เริ่มหายใจไม่ออก เชื่อว่าหากรอต่อไปอาจเสียชีวิตได้ จึงตัดสินใจบอกน้องสาวพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลปลายพระยา

แต่พอไปถึงก็ไม่พบใครเลย จึงต้องไปหาหมอต่อที่โรงพยาบาลทับปุด เพราะเคยมีประวัติการรักษา กรณีที่เกิดขึ้น ตนอยากให้โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งปรับปรุงเรื่องการให้บริการ กรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน เพราะทุกนาทีหมายถึงชีวิตของคน ไม่ได้มีเจตนาจะไปตำหนิ หรือโจมตีใครทั้งนั้น

อย่างไรก็ตามล่าสุด นพ.ปพน ดีไชยเศรษฐ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กระบี่ (สสจ.กระบี่) พร้อมด้วย นพ.ณัฐพงษ์ ดูงาม ผอ.รพ.ปลายพระยา และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมาพบกับผู้เสียหาย เพื่อพูดคุยสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

พร้อมทั้งขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยรับปากว่าจะกำชับ และปรับปรุงในเรื่องของการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งใน จ.กระบี่ พร้อมทั้งมอบกระเช้าขอโทษให้แก่ผู้เสียหาย

ทั้งนี้ นพ.ปพน ยังเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนสอบถามปัญหาแล้ว พบว่าเกิดจากการบริหารจัดการ และความผิดพลาดส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนก็เรียกเจ้าหน้าที่เวรในคืนดังกล่าวมาพูดคุย ว่ากล่าวไปแล้ว

หลังจากนี้จะกำชับให้ทุกโรงพยาบาลต้องปรัปปรุงพัฒนา ในเรื่องของการบริการให้พร้อม และต้องดีกว่าเดิม ต่อไปพนักงานเวรเปล ต้องอยู่ประจำ 24 ชม. และจะเพิ่ม รปภ.ไปด้วย ตรงหน้าห้องฉุกเฉิน และประตูห้องฉุกเฉิน จะต้องเปิด 24 ชม.

ส่วนปัญหาในคืนเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ต้องปิดประตูไว้ เพราะก่อนนี้เคยเกิดปัญหามีผู้ป่วยจิตเวช เข้าไปก่อกวนในห้องฉุกเฉินบ่อยครั้ง จนทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความหวาดกลัว จะเป็นอันตรายได้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนมีความตั้งใจจะดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชน ให้ดีที่สุดอยู่แล้ว.

(ติดตามข่าวโซเชียล ในกระแส ทั้งหมดที่นี่)