มูลนิธิกระจกเงา เร่งช่วยเหลือ "แม่แพง" ชาวลื้อ สัญชาติลาว ให้ได้กลับมาอยู่กับลูกชายวัย 7 ขวบ หลังทางการเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมติด Blacklist เหตุวีซ่าหมดอายุ

มีรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิกระจกเงา ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่า 2 พฤศจิกายน 2566 เป็นวันที่เด็กชายวัย 7 ขวบคนหนึ่งตื่นแต่เช้าตรู่ลุกขึ้นแต่งตัว นั่งรถทัวร์ข้ามจังหวัดเข้ากรุงเทพ เพื่อให้ได้กอดแม่สักครั้ง หลังต้องพรากกันเกือบสองเดือน 

เด็กชายได้เจอแม่ในห้องเยี่ยมผู้ต้องกัก แม่แกะขนม ที่ลูกชายถือติดมือมาให้กิน ก่อนถามไถ่ลูกชายว่า "ตอนที่พ่อต้องไปทำงานขับรถบรรทุก ลูกอาบน้ำแปรงฟันเองได้มั้ย ลูกได้กินข้าวบ้างมั้ย มีเงินพอไปโรงเรียนหรือเปล่า"

เด็กชายพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เราต่างรู้ดีว่าเด็กในวัยแค่ 7 ขวบ แม้จะพอกินข้าวอาบน้ำเองได้ แต่ยังเล็กเกินไปหากต้องขาดแม่คอยดูแล

ทั้งคู่ใช้เวลาพูดคุยกัน จนช่วงที่ต้องบอกลาดำเนินมาถึง เด็กชายยื่นขนมที่เหลือของตัวเองให้แม่ไว้ เพราะรู้ว่าแม่ยังไม่ได้กินข้าว ก่อนกอดลาแม่ และให้สัญญาว่า จะเป็นเด็กดีกลับไปรอที่บ้าน รอว่าสักวันหนึ่งแม่จะกลับมาหา มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า และทำเมนูโปรด กระเพราหมูแสนอร่อย ให้เด็กชายได้กินอิ่มไปจนโต

แม่ของเด็กชายวัย 7 ขวบ ชื่อแม่แพง เป็นหญิงสาวชาวลื้อ สัญชาติลาว ที่พบรักกับชายไทย ถูกจับอยู่ที่ ตม. มาร่วม 2 เดือน เพราะวีซ่าหมดอายุ (Overstay) และทางการเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมติด Blacklist 10 ปี โครงการคลินิกกฎหมายมูลนิธิกระจกเงา ดำเนินการช่วยเหลือครอบครัวนี้ เราทำหนังสือขอประกันตัวจาก ตม.สวนพลู ให้แม่ได้มีโอกาสกลับไปเลี้ยงดูลูกชายมาแล้วสองครั้ง

...

ครั้งแรกหนังสือยื่นขอประกันตัว ถูกปฏิเสธ เนื่องจากการขอประกันตามเหตุสิทธิมนุษยชน ของแม่และเด็กไม่เคยมีแนวปฏิบัติมาก่อน เธอจึงยังไม่ได้รับการประกันตัว และคาดว่าในครั้งที่สอง อาจถูกปฏิเสธเช่นกัน ในวันพรุ่งนี้ โครงการคลินิกกฎหมาย จึงจะดำเนินการยื่นคำฟ้องขอศาลปกครองคุ้มครอง เพื่อให้แม่ลูกได้อยู่ด้วยกัน เป็นกระบวนการที่อาจเป็นอีกหนึ่งความหวังของเด็กชายและครอบครัว 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องราวของ "แม่แพง" ทางมูลนิธิกระจกเงา เคยได้โพสต์ให้ข้อมูล เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ไว้ว่า ถนนในประเทศลาวเส้นหนึ่ง มีขบวนรถบรรทุกที่วิ่งรับส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน แต่ต้องผ่านเส้นทางบนภูเขาที่ลาว รถบรรทุกไทยคันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตกเขา รถพังสินค้ากระจัดกระจาย นายทอมได้รับมอบหมายให้ไปเก็บกู้สินค้าที่ตกหล่นในอุบัติเหตุนั้น และเป็นที่มาของการพบสาวชาวลื้อในแผ่นดินลาว ณ จุดเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกและอุบัติเหตุแห่งรัก

ทุกครั้งที่นายทอมขับรถผ่านหมู่บ้านชาวเขาเผ่าลื้อ ทอมมักซื้อของฝาก และใช้โอกาสนี้ แวะเวียนไปหา "น้องแพง" สาวลื้อที่พบกันในครั้งนั้น จนวันนึงน้องแพงสาวชาวลื้อวัย 24 ปีก็ทำ Passport มาเยี่ยมนายทอมที่เมืองไทย และก่อร่างสร้างครอบครัวขึ้นในที่สุด ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

ปกติ "แม่แพง" จะกลับบ้านไปต่อวีซ่าโดยการติดรถบรรทุกของสามี เมื่อต้องขับรถเข้าเส้นทางลาว จนกระทั่งโควิดระบาด การปิดพรมแดน และการทำวีซ่าเป็นไปด้วยความจำกัด และวันหนึ่งเธอโดนตำรวจจับ ข้อหาหลบหนีเข้าเมือง เพราะวีซ่าหมดอายุ (Overstay)

หญิงสาวชาวลื้อ สัญชาติลาว ที่เป็นภรรยาของคนไทย และเป็นแม่ของเด็กชายวัย 7 ขวบ ถูกจับอยู่ ตม สวนพลูมาได้ 1 เดือนแล้ว และทางการเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมติด Blacklist 10 ปี คลินิกกฎหมาย

มูลนิธิกระจกเงา ได้ทำหนังสือขอประกันตัวจาก ตม.สวนพลู ในวงเงิน 50,000 บาท เพื่อให้เธอมีโอกาสกลับไปเลี้ยงดูลูกชาย ที่ตอนนี้ฝากไว้กับป้า เพราะสามีเธอทำงานขับรถบรรทุก ต้องออกต่างจังหวัด

เราใช้สิทธิตามกฎหมาย ม.54 พรบ.คนเข้าเมือง 2522 ที่ให้คนรอการส่งกลับ ไปพำนักอยู่ที่ใดตามที่ ตม.กำหนดก็ได้ ตามเหตุผลจำเป็น ซึ่งเหตุจำเป็นของแม่แพง ก็คือการกลับไปเลี้ยงดูลูกชายที่ลพบุรี เพราะขาดแม่มา 1 เดือนแล้ว

สิทธิเด็กในการอยู่ร่วม และได้รับการเลี้ยงดูจากมารดา เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรถูกพรากด้วยเหตุเพียงเพราะวีซ่าหมดอายุ แต่หนังสือยื่นขอประกันตัว ถูกปฏิเสธ เนื่องจาการขอตามเหตุสิทธิมนุษยชนของแม่ และเด็กไม่เคยมีแนวปฏิบัติมาก่อน

เธอจึงยังไม่ได้รับการประกันตัว คำถามคือ คำตอบที่ควรจะเป็นคืออะไร ลูกต้องพลัดพรากกับแม่ และครอบครัวนี้จะดำเนินความสัมพันธ์ต่ออย่างไร เธอมิใช่อาชญากร โทษของเธอ มีเหตุจากความรักข้ามแม่น้ำโขง โดยมีความปรารถนาที่จะอยู่กันเป็นครอบครัว กับลูก และสามีชาวไทย.

ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิกระจกเงา