ครอบครัวร้องความเป็นธรรมผ่านสื่อ อ้างลูกชายถูกตำรวจ "คลุมถุงดำ-ซ้อม-ยัดคดีข่มขืน" ทั้งที่สารภาพแล้ว ขณะที่ตำรวจแถลงยันไม่มีการทำร้าย ด้านทนายแนะแนวทางการร้องเรียน

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับแขกรับเชิญ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม และครอบครัวผู้ต้องหา ถึงกรณี “แม่ร้องขอความเป็นธรรมให้ “นายเอนก” ซึ่งเป็นลูกชาย ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ อ้างถูกตำรวจซ้อม คลุมถุงดำ แถมยัดคดีข่มขืน”

คุณฟ้า แฟนของผู้บาดเจ็บ อ้างว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ตนกำลังขี่รถจักรยานยนต์ไปกดเงินกับแฟน โดยช่วงขากลับมีสายโทรเข้าจึงจอดรถรับสาย จากนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถมาปาดหน้าแล้วแสดงหมายจับกุมแฟน โดยเขาบอกว่าเป็นหมายศาลจับกุมคดีชิงทรัพย์และข่มขืน ซึ่งแฟนก็รับสารภาพ ตนกับแฟนคบกันมา 3 ปี แต่ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย 

ตำรวจถามว่ารู้ไหมว่าเมื่อ 4 เดือนก่อนแฟนไปทำอะไร ตนก็บอกว่าอยู่บ้านไม่ได้ไปด้วย ทางตำรวจก็บอกว่าแฟนไปก่อเหตุชิงทรัพย แล้วผู้ร้องทุกข์ได้มาแจ้งความว่าชิงทรัพย์และพยายามบังคับให้เขาอมอวัยวะเพศ ตนก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะหากแฟนผิดจริงก็ต้องรับโทษ 

ทางตำรวจบอกอีกว่า วันเกิดเหตุช่วงเช้ามืด ผู้เสียหายวิ่งออกกำลังกายอยู่หน้าหมู่บ้าน ซึ่งวันนั้นแฟนออกจากบ้านเวลาตี 4 ครึ่ง เอาปืนไปจี้ชิงเอาโทรศัพท์มือถือมา แล้วตอนแฟนมาถึงบ้าน เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ส่งมือถือเครื่องดังกล่าวมาให้ตน แต่มือถือล็อกหน้าจอ ตนจึงถามว่าไปเอาของใครมา แฟนก็บอกว่าไปบ้านเพื่อนมา ซึ่งตนไม่อยากถามอะไรมากมาย และส่วนตัวคิดว่าไม่มีอะไรจึงเอามือถือเครื่องนี้ไปแก้ข้อมูล แล้วเอาไปขายในราคา 2,000 บาท

...

คุณฟ้า เล่าต่อว่า ในวันที่โดนจับกุม ตนกับแฟนถูกคุมตัวมาถึง สภ.วังน้อย ก็ถูกนำตัวขึ้นห้องสืบสวน มีตำรวจคนหนึ่งบอกให้แฟนนั่งลง แล้วมีตำรวจอีกคนไปหยิบถุงผ้าสีดำจากที่โต๊ะมาสวมแฟน ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้ยินตำรวจคนดังกล่าวพูดว่าจะเอาถุงดำมาคลุม แต่ไม่คิดว่าจะเอามาคลุมจริงๆ โดยขณะนั้นตนอยู่ในห้องด้วย ยืนมองตำรวจอยู่ ซึ่งเขาหันมาเห็นตน เลยบอกให้ตนลงไปข้างล่าง โดยตอนที่เดินลงไปได้ยินเสียงเตะ ตบ แล้วมีเสียงบอกว่า “อย่ามาเก่งกับ_” ยืนยันว่าในวันที่ตำรวจแถลง คนก่อเหตุไม่ได้อยู่ด้วย 

ผ่านไปประมาณ 30 นาที ตำรวจได้คุมตัวแฟนออกมาจากห้องสืบสวนและพาตัวแฟนไปเอาโทรศัพท์มือถือ ส่วนตนโดนเชิญตัวขึ้นไปห้องสืบสวน ทั้งนี้ตนได้มาคุยกับแฟนอีกครั้งหลังจากตำรวจคุมตัวไปเอาโทรศัพท์ ซึ่งแฟนก็ชี้ให้ดูรอยต่างๆ แล้วบอกว่าเจ็บมาก ส่วนเรื่องบังคับข่มขืน ตนถามแฟนว่าได้ทำตามที่เขาแจ้งไหม แฟนก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้ทำ ระหว่างก่อเหตุมีพลเมืองดีขี่รถเข้ามาก่อน 

แม่ผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า ตอนที่ไปเยี่ยมได้ถามลูกว่าเป็นอย่างไร ลูกก็ชี้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ตนถามว่ามีการซ้อมกันด้วยเหรอ ลูกก็มองหน้า ตำรวจก็มอง ลูกเลยก้มหน้า ต่อมาตนได้ถามกับตำรวจว่ามีการซ้อมด้วยเหรอ ทำไมลูกมีร่องรอยการทำร้าย อยากถามว่าในเมื่อลูกรับสารภาพแล้วทำไมต้องทำแบบนี้ ที่ตำรวจแถลงว่าไม่มีการทำร้ายร่างกาย ตนก็อยากถามว่าตอนจับลูกมาปกติดี แต่ทำไมตอนนี้บาดเจ็บ

ทั้งนี้ ทนายรณณรงค์ กล่าวว่า วิธีการทำงานเก็บหลักฐาน เมื่อจับผู้ต้องหาได้ ก็ขยายผลหาของกลาง ประเด็นคือวิธีการที่ได้ข้อมูลมา กฎหมายไม่ได้บอกว่าใช้กำลังกับผู้ต้องหาได้ ในปัจจุบันเรามีกฎหมายเรื่องอุ้มซ้อมทรมาน ดังนั้นต้องมีกระบวนการที่ชัดเจน จริงๆ ต้องมีการบันทึกคลิปว่าสอบปากคำอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็เอาคลิปมาให้ดู

ตนวอนทางการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยว่า ตอนที่อ่านหมายแผลที่หน้าผู้ต้องหาไม่มี แต่ตอนไปฝากขังแผลมาเต็มเลย หรือหากผู้ต้องหาทำร้ายตัวเอง ผมรับได้ แต่ต้องตอบให้ได้ว่าผู้ต้องหาทำร้ายตัวเองตอนไหน และอยากฝากคนดูว่า แม่ทำอาชีพปกติ ถ้าไม่สุดจริงคงไม่อยากมีปัญหากับตำรวจ และแนะนำให้ครอบครัวผู้บาดเจ็บไปร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรมให้ช่วยตามคดีนี้ 

อย่างไรก็ตาม แม่ผู้บาดเจ็บ กล่าวอีกว่า ฉันเป็นคนตาขาว เป็นคนไม่กล้า แต่ถ้าแฟนยังอยู่ แฟนคงจะสู้ชนฝา แต่แฟนเสียไป 6 ปีแล้ว ฉันกลัว ฉันเป็นคนทำงาน ฉันเป็นคนจน ฉันไม่มี ฉันไม่มีหลักเกณฑ์อะไรที่ไปสู้กับคนมีสี แค่ออกมาร้องความเป็นธรรมให้ลูก ในเมื่อลูกสารภาพหมดแล้ว ทำไมต้องทำลูก.