"สัตวแพทย์" เผยสาเหตุการตาย "พลายตุลา" ลูกช้างป่าพลัดหลง รักษาตัวนาน 10 เดือน ก่อนจากไปอยู่ดาวช้าง พร้อมเผยเป็นช้างอารมณ์ดี ขี้เล่น จนเป็นขวัญใจคนรักสัตว์

วันที่ 14 ส.ค. 2566 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจาก นายก้องเกียรติ เต็มตำนาน ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ถึงกรณีการเสียชีวิตของลูกช้างป่า "ตุลา" เบื้องต้น นายสัตวแพทย์ไพโรจน์ พรมวัฒน์ ระบุว่า ที่ผ่านมา ลูกช้างป่าพลัดหลง ตุลา มีอาการป่วยเนื่องจากยืนหลับ ไม่ยอมล้มตัวลงนอนติดต่อกันหลายวัน จนมีอาการเจ็บและอักเสบบริเวณขาหน้าทั้ง 2 ข้าง 

รวมถึงขาหลังขวาที่มีการก้าวเดินผิดปกติ จนเริ่มมีอาการทรุดลง ได้มีการระดมทีมสัตวแพทย์จากหลายหน่วยงาน ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) คลินิกช้างและสัตว์ป่า คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และชมรมสัตวแพทย์สวนสัตว์และสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย ทำการรักษาและอนุบาลตุลาอย่างใกล้ชิด  

...

กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2566 เวลา 04.00 น. สัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) เข้าช่วยเหลือลูกช้างป่าในการพยุงตัวลุกยืน โดยซึ่งก่อนหน้านี้สัตวแพทย์ตรวจพบว่า ลูกช้างป่า (ตุลา) มีอาการป่วยด้วยภาวะโรคกระดูกบาง (metabolic bone disease) หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้มีการรักษาโรคกระดูกบาง รวมถึงเฝ้าระวังและติดตามอาการของการใช้ขาของลูกช้างป่ามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่าลูกช้างป่า (ตุลา) มีอาการไม่สามารถลุกยืนได้จากการนอนในเวลากลางคืน จึงได้เข้าช่วยเหลือโดยการใช้เครนยกตัวเข้าช่วยพยุงตัวให้ยืนขึ้น 

หลังจากนั้นสัตวแพทย์ได้ทำการตรวจร่างกายพบว่า ขาหน้าทั้ง 2 ข้าง มีอาการอ่อนแรง บวม ข้อเท้าขาหน้าทั้งสองมีการงอ ไม่ขยับเดิน จึงได้ทำการให้ยาลดปวด ลดอักเสบ และพันขาลดการปวดการอักเสบ โดยตลอดทั้งวัน พบว่าลูกช้างป่าไม่สามารถใช้ขาช่วยพยุงตัวให้ยืนได้ จึงได้ทำการให้นอนพัก และให้เจ้าหน้าที่ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง

ต่อมาเวลา 18.00 น. ลูกช้างป่า (ตุลา) เริ่มมีอาการหายใจช้าลง ลิ้นเริ่มมีสีซีด มีภาวะหัวใจหยุดเต้น สัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเร่งด่วน โดยการทำ CPR เพื่อกระตุ้นการหายใจ ลูกช้างป่าไม่มีการตอบสนองต่อการช่วยชีวิต และเสียชีวิตในเวลาต่อมา สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้น เกิดการภาวะบาดเจ็บรุนแรงของกระดูกต้นขาหน้าทั้ง 2 ขาหัก (Humerus fracture) ทำให้เกิดสภาวะช็อกจากการบาดเจ็บรุนแรงตามมา (Pain shock) 

ขณะที่ นายเผด็จ ลายทอง ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ร่วมกับทีมสัตวแพทย์ ทำการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุและเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางปฏิบัติการ เพื่อยืนยันถึงสาเหตุการเสียชีวิต ปรากฏว่า สาเหตุหลักในการเสียชีวิต เกิดจากสภาวะกระดูกบางทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณขาหน้า (ด้านบน) ทั้งสองข้าง พบการสลายของกระดูก ทำให้กระดูกแตกหักละเอียด ผิดรูป ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไม่ล้มตัวลงนอน และเล่นกับพี่เลี้ยงตามปกติ อวัยวะภายในร่างกายพบว่า ลำไส้มีความแดงผิดปกติ และสัตวแพทย์ได้ทำการเก็บตัวอย่างอวัยวะทั้งหมด รวมถึงกระดูก ส่งทางห้องปฏิบัติการ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์พัฒนาการทางสัตวแพทย์ภาคตะวันออก กรมปศุสัตว์ 

สำหรับช้างป่า "ตุลา" เป็นลูกช้างป่าพลัดหลง ที่ทหารพรานนาวิกโยธิน พบที่บริเวณฐานฯ ทุ่งกร่าง ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา ขณะนั้นมีอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่ร่วมกันตั้งชื่อลูกช้างป่าตัวนี้ว่า "เจ้าตุลา" ตามเดือนที่พบเจอ ขณะที่พบลูกช้างมีอาการอ่อนแอ สัตวแพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และได้รับการสนับสนุนน้ำนมช้างจากแม่ช้าง 4 เชือกที่เพิ่งตกลูก จากสวนนงนุชพัทยา มาให้ลูกช้างกิน ตลอดจนการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสัตวแพทย์และทีมพี่เลี้ยง โดยทีมสัตวแพทย์ได้ทำการตรวจสุขภาพลูกช้างป่า (ตุลา) พบว่า ลูกช้างป่า (ตุลา) ป่วยเป็นโรคติดเชื้อเฮอร์ปีส์ไวรัสในช้าง (EEHV) ทีมสัตวแพทย์จึงได้ทำการรักษา โดยการให้ยาต้านไวรัสแบบกิน เพื่อรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จนทำให้ตุลาเริ่มมีสุขภาพแข็งแรง มีสุขภาพดี และเป็นช้างอารมณ์ดี ขี้เล่น จนเป็นขวัญใจคนรักสัตว์

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2566 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมดำเนินการเคลื่อนย้ายลูกช้างป่า "ตุลา" จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี มายังศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) มีพื้นที่ที่เหมาะสม โดยที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีการจัดทีมสัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ และพี่เลี้ยง ดูแลอาการช้างป่า "ตุลา" อย่างใกล้ชิดมาตลอดนานถึง 10 เดือน และได้จากไปในที่สุด.