สัตวแพทย์เล่าภาพเบื้องหลังภารกิจขนย้าย "พลายศักดิ์สุรินทร์" ขึ้นเครื่องกลับมารักษาตัวที่ไทย พร้อมชื่นชมควาญช้างไทย และเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะเป็นภารกิจที่ท้าทายมาก

จากกรณี "พลายศักดิ์สุรินทร์" ที่ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย เพื่อรักษาตัวชั่วคราวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ หลังจากถูกส่งตัวไปเป็นทูตสันถวไมตรีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว พระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในงานแห่พระธาตุประจำปีที่ประเทศศรีลังกา เป็นเวลารวม 22 ปี โดยมีเจ้าหน้าที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ จ.ลำปาง และทีมสัตวแพทย์คอยสังเกตอาการ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด นายสัตวแพทย์ สิทธิเดช มหาสาวังกุล ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสัตวแพทย์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หนึ่งในผู้ทำภาระกิจเคลื่อนย้าย "พลายศักดิ์สุรินทร์" กลับมารักษาที่ประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า Mission complete ควาญช้างไทยเก่งมาก มีเวลารู้จักกับช้าง และฝึกหัดช้างเข้าคอกเพียง 10 กว่าวันเท่านั้น ต้องทำ mission impossible ให้เป็น possible เป็นงานที่ท้าทายมาก

...

เลยอยากเอาภาพ Behind the scenes บนเครื่องมาให้ดูสนุกๆ กัน คณะเริ่มรวมพลกัน ตั้งแต่ 4 ทุ่ม (เวลาศรีลังกา) ตั้งแต่คืนวันที่ 1 ก.ค. เอาช้างเดินเข้ากรง ที่วางบนรถเทรลเลอร์ กว่าจะออกจากสวนสัตว์ Dehewalawa ได้ ก็เที่ยงคืนกว่า ใช้เวลาวิ่ง 2 ชม.กว่า ถึง Cargo village ใกล้สนามบินโคลัมโบ

เพื่อเปลี่ยนถ่ายกรงช้างมาบนรถเทรลเลอร์คันใหญ่ จากนั้นเทรลเลอร์ใหญ่ ขับมาเทียบกับท้ายเครื่องบิน อิลยูชิน IL-76 เพื่อโหลดขึ้นเครื่อง ซึ่งไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเป็นกรงช้างขนาดใหญ่ ใช้เวลากว่า 2 ชม. กว่าจะโหลดได้สำเร็จ ในเวลา ตี 5 ครึ่ง (เวลาศรีลังกา)

วันที่ 2 ก.ค. อุณหภูมิบนเครื่องบินร้อนมาก เหงื่อแตกพลั่กๆ เพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ ทีแรกก็คิดว่าเดี๋ยวเครื่องบินติดเครื่อง คงจะเย็นขึ้นแต่ไม่ใช่ ได้เวลา take off 07.00 น. เครื่องบินติดเครื่องดังกระหึ่ม เสียงดังมาก และวิ่ง take off ด้วยความรวดเร็ว

เครื่องสั่นโคลงและเสียงดังมาก จนช้างแสดงอาการตื่นตกใจกลัว แต่ควาญและสัตวแพทย์ ก็ช่วยควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ บรรยากาศบนเครื่องก็แบบ ชิลๆ ใครอยากนั่งอยากนอนตรงไหน ก็ตามสบาย ไม่ต้องคาด safety belt ตอน take off และ landing มีลูกเรือประมาณ 7 คน นักบิน 2 คน ส่วนใหญ่พูดรัสเซีย มีพูดภาษาอังกฤษได้สัก 2 คน

คือ นักบินคนนึง ทั้งนักบิน และลูกเรือทีแรกก็แต่งชุด Uniform เรียบร้อย พอสักพักก็ถอดเสื้อใส่เสื้อยืดสบายๆ แวะเวียนกันมาดูช้างถ่ายรูปช้างกันเป็นประจำ ตัวนักบินเองก็เดินมาดูช้างบ่อยๆ จะกลับมาใส่ Uniform อีกครั้งตอน Landing การพูดคุยบนเครื่อง ไม่ค่อยได้ยิน เพราะเสียงดังมาก ต้องพูดกันข้างหู บนเครื่องมีอาหารเสิร์ฟเป็นเซตง่ายๆ ไม่หรูหรามาก

เป็นพวกขนมปัง ผลไม้ ชา กาแฟ ส่วนของพวกเราได้ข้าวเหนียว ไก่ทอดแพ็กใส่กล่องให้จากสถานทูต พวกเราไม่ได้นอนกันทั้งคืนเลย พอเครื่องบิน stable บนอากาศแล้ว ช้าง OK แล้ว ก็เลยพลอยหลับกันไปเพราะหมดแรง จริงๆ ผมเอง ก็เผลอหลับตอนเห็นคนอื่นตื่นอยู่

งานหนักอีกอันหนึ่ง ที่อยู่บนเครื่องคือ ต้องคอยรองฉี่ช้างที่ออกมาจากท้ายกรง เพื่อไม่ให้น้ำฉี่ปริมาณมากตกลงบนพื้นท้องเครื่องบิน เพราะจะทำให้เกิดระบบไฟฟ้าช็อตได้ โดยก่อนวางกรง จะมีผ้ายางกันน้ำปูรองด้านล่างอีกครั้ง เราใช้ฟองน้ำแผ่นใหญ่ ที่เตรียมกันมาหลายแผ่น ตัดออกเป็นแผ่นเล็กๆ คอยซับฉี่ และคอยบีบฉี่ใส่ถุงดำที่เตรียมไว้อย่างมากมาย

ช้างฉี่ถึงสามครั้งบนเครื่อง ฉี่ครั้งนึงก็ปริมาณเกือบ 20 - 30 ลิตรได้ ฟองน้ำที่เตรียมไปอย่างเหลือเฟือ เหล่าลูกเรือก็เอาไปปูนอนบนเครื่องสบายๆ ขออภัยที่แอบถ่ายทุกท่านตอนนอนหลับ มิได้มีเจตนาอย่างอื่นเลยอยากให้เห็นหลังฉากการทำงานบนเครื่องเท่านั้น.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สิทธิเดช มหาสาวังกุล