ครูสาวเผยบันทึก "การลาออกจากราชการ" พร้อมเหตุผล ที่ทำให้ตัดสินใจลาออก บอกกว่าครอบครัวจะเข้าใจก็ต้องใช้เวลานาน พร้อมฝากถึงทุกคน อย่าใช้ชีวิตด้วยความกลัว แต่จงใช้ชีวิตด้วยความหวัง
วันที่ 2 มิถุนายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาวผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Mimi Supawadee ได้โพสต์ บันทึกการลาออกจากราชการ ระบุว่า ทำไมถึงลาออกทั้งที่เป็นงานที่มั่นคง คนถามเยอะแล้วลองเปลี่ยนเป็น ตอนทำงานประจำควบคู่กับรายได้เสริม จัดการเวลา ความรู้สึก ความคิด การลงมือทำยังไง น่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆ คนมากกว่า จะตอบคำถามแรกก่อน "ทำไมถึงลาออก"
- หมดแรง หมดเวลาในแต่ละวัน ไม่มีเวลาได้ใช้ชีวิต เสาร์ อาทิตย์ มาโรงเรียน วนลูปแบบนี้ กับเอกสารที่มากมายก่ายกอง
- ไม่สามารถสอนในเนื้อหาที่เด็กไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง แต่ใช้เพื่อสอบได้อีกต่อไป
- และที่สำคัญที่สุด คือ ลูก อยากมีความทรงจำที่ได้ใช้ชีวิตกับลูก ก่อน 7 ขวบให้มากที่สุด เพราะเวลาที่เสียไปแล้ว ย้อนกลับมาไม่ได้

...
ส่วนคำถามที่ 2 นี่คือสิ่งที่ตกผลึกกับตัวเอง 10 การเรียนรู้ ที่โรงเรียนไม่ได้สอน
- สิ่งที่เคยมีความสุขตอนนั้น ถ้าตอนนี้ไม่ใช่ก็ต้องหยุด หยุดได้ไว เริ่มต้นใหม่ได้ไว
- ความมั่นคงสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเรา ไม่เกี่ยวกับอาชีพ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฉะนั้นการบริหารการเงินสำคัญมาก (แต่โรงเรียนไม่ได้สอน)
- ทำในสิ่งที่มีความสุข สะสมไปเรื่อยๆ จนมีศักยภาพ เก่งในเรื่องนั้นๆ ขอให้รับรู้ไว้ เงินมาเอง (โรงเรียนไม่ได้สอนความสุขของแต่ละคนเป็นไง ความถนัดของแต่ละคนเป็นไง)
- การบริหารจัดการเวลาสำคัญมาก เมื่อตัดสินใจที่จะลาออก ก็ต้องมีรายได้เสริมจากหลายช่องทาง ในวันที่เหนื่อย ท้อ งานเยอะไม่มีเวลา แต่มีใจ เชื่อเถอะยังไงก็รอด (มี่นอนไม่เกิน 5 ชม. ติดต่อกัน 3 ปี เพราะต้องการมีชีวิตในวันนี้)
- มี mindset ที่ว่า "เงินเดือน" ที่มาจากงานประจำ คือ เงินชั่วคราว และไม่ได้จบแค่นี้ ศักยภาพของเรามีมากกว่านี้ ดึงออกมามากเท่าไร เงินเข้ามามากเท่านั้น เมื่อเรารู้จักตัวเองมากพอ เราจะรู้ว่าศักยภาพของเราคืออะไร สิ่งนี้โคตรสำคัญ มี mindset ที่ว่า งานประจำคือเงินชั่วคราว เมื่อเจองานที่ชอบ ให้ผลตอบแทนที่ใช่ และมีรายได้มากกว่างานประจำเมื่อไหร่ ลาออกทันที
- เมื่อรายได้เสริม มากกว่าหรือเท่ากับงานประจำติดต่อกัน 3 เดือน คือโคตรพร้อมที่จะออกแล้ว แต่ทำควบคู่ไปก่อน เพราะต้องบริหารการเงินให้อยู่รอดปลอดภัย ใน 6 เดือน-1 ปี (ซึ่งเป็นช่วงเวลาลองถูกลองผิดกับสิ่งใหม่)
- บริหารเวลาสำคัญแล้ว บริหารการเงินสำคัญมากเช่นกัน วางแผนรองรับให้ครอบคลุม เงินออม เงินฉุกเฉิน เงินสำรอง ประกันสุขภาพ รายจ่ายคงที่ รายจ่ายไม่คงที่ (พวกนี้โรงเรียนควรสอน ว่าม่ะ)
- ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ คือการไม่เริ่มต้น วันนี้ถ้ายังไม่เคยทำอะไรใหม่ๆ ทำเลยลองเลย ไม่งั้นจะรู้ได้ไง ทุกอย่างไม่มีล้มเหลว มีแต่เรียนรู้ และลงมือทำ ซ้ำๆ
- ตั้งเป้าหมายให้ชัด ว่าเราต้องการอะไรกันแน่ในชีวิตนี้ แล้วโฟกัสในแต่ละช่วงเวลา ทำมันไปเรื่อยๆ
- หลายครั้งเราทำอะไรกับชีวิตเพื่อต้องการเป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับ ทำให้ผู้อื่นจนหลงลืมตัวเอง ตรงนี้ต้องบอกว่า กว่าครอบครัวเข้าใจในเรื่องการลาออก ใช้เวลานานพอสมควร ฉะนั้น เราต้องทำให้เห็นให้ได้ว่าการเป็นตัวเองที่มีความสุขมันดีกว่าการที่ครอบครัวเลือกให้เป็นยังไง (และเขาก็ไม่ได้ผิดอะไรในตอนนั้น )
พอมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอะไรในตัวเอง ครอบครัวก็เคียงข้างและภูมิใจกับเราเสมอ สิ่งสำคัญ คือ กลับมารู้จักตัวเองให้ได้ (โรงเรียนไม่ได้สอน สอนแค่ต้องเป็นในแบบที่สังคมอยากให้เป็น)
สุดท้ายนี้ อย่าใช้ชีวิตด้วยความกลัว แต่จงใช้ชีวิตด้วยความหวัง ความฝัน แรงบันดาลใจ และชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน บรรจุข้าราชการครู 15 สิงหาคม 2559 ลาออกจากราชการมีผล 1 มิถุนายน 2566 ขอเป็นกำลังใจให้ตัวเองและทุกคนที่กำลังอยู่ในเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตามคุณมี่ หรือสาวเจ้าของโพสต์ ยังได้เปิดใจกับ "ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" เพิ่มเติมว่า ตอนที่ตัดใจลาออก ใช้เวลา 3 ปี ในการเตรียมตัว และวางแผนการเงิน หลังจากลาออกชีวิต มีความสุขขึ้นมาก ตื่นเช้ามากกว่าที่เคยตื่นมาทำงานประจำอีก เพราะรู้ว่าเช้ามาเราทำอะไรบ้าง ให้คุณค่าอะไรกับตัวเองและผู้อื่นยังไงบ้าง
มีเวลาพัฒนาตัวเอง มีเวลาทำสิ่งที่ชอบ และมีรายได้ และที่สำคัญได้ดูแลลูกอย่างเต็มที่เหมือนที่คิดไว้เป๊ะเลย ได้พักผ่อนเพียงพอ เสาร์-อาทิตย์ได้พัก ตอนเย็นได้ใช้ชีวิต ความธรรมดาแบบนี้ ควรมีในทุกอาชีพ ไม่ใช่แค่ครู
สำหรับคุณครูที่มีความคิดเหมือนกัน บริหาร จัดการเวลา การเงินให้ดี แล้วค่อยๆ ลองดูว่าเราชอบ ถนัดอะไร ตอนนี้มีหลายแฟลตฟอร์มที่เป็นช่องทาง โดยเฉพาะติ๊กต่อก ที่เป็นเหมือนห้องเรียนห้องใหญ่ ที่ให้เราได้ลองถูก ลองผิด ช่วงที่ทำงาน 2-3 อย่างควบคู่ เข้าใจและอยู่กับมันให้ได้ เพราะเหนื่อยจริง ต้องอึด ต้องยอมรับ เพราะเป้าหมายเรา ยิ่งใหญ่ คือลาออกเพื่อใช้ชีวิต
ส่วนคนที่เหนื่อยกับงาน ไม่ว่าจะงานอะไร ก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ แต่หน้างานเอกสารที่มากเกินไป และเราเหนื่อยล้าซ้ำๆ ลองให้เวลาตัวเองได้ทำในสิ่งต่างๆ เพื่อค้นหาความสุขเรียบง่ายมากขึ้น และความสุขนั้นจะนำมาซึ่งเงิน และไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล อยากให้วิชาการรู้จักตัวเองและการใช้ชีวิต ให้เด็กได้เรียนรู้ เพื่อใช้ในชีวิตจริง อะไรที่ใช้เพื่อสอบ ลดละเลิกเถอะ.
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Mimi Supawadee