ครูสาววัย 25 ปี เผยบันทึกแรกและบันทึกสุดท้าย ในการเป็นข้าราชการครู แจงละเอียดยิบถึงเหตุผลที่ตัดสินใจไม่เดินหน้าต่อในอาชีพนี้ พร้อมบอกเวลาคือสิ่งที่เสียไปแล้ว เอากลับคืนมาไม่ได้

วันที่ 7 พฤษภาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นเรื่องราวที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก Mint Pavee ได้โพสต์เรื่อง บันทึกแรกและบันทึกสุดท้ายในการเป็นข้าราชการ ระบุว่า

สวัสดีเราชื่อมิ้นท์ ตอนนี้อายุ 25 ย่าง 26 บรรจุ มีนาปี 65 ลาออก เมษาปี 66 และมีผลอนุญาตให้ออกจากราชการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ก่อนจะเล่าเรื่องลาออก ขอเท้าความก่อนละกัน คำเตือนโพสต์นี้เขียนยาวที่สุดในชีวิตและเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เราเป็นเด็กที่ไม่ได้เติบโตในครอบครัวราชการ พ่อทำรับเหมา แม่เป็นแม่ค้า เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะดื้อ ถ้าเทียบกับพี่สาวเรา แล้วก็เป็นคนตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ตั้งแต่เด็กจะโดนว่าตลอด เพราะพี่เราเป็นคนเก่ง แล้วก็ขยัน แต่เราคือตรงกันข้ามเลย คือขี้เกียจแล้วก็ติดเล่น

...

ตั้งแต่เล็กจนโต เราก็พิสูจน์ตัวเองว่าการติดเล่นของเรา ไม่ได้ทำให้เสียการเรียนเลย คือมันเหมือนข้อตกลงของเรากับที่บ้านเลยก็ว่าได้ ว่าถ้าอยากทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ก็ต้องไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ในสิ่งที่เขาคาดหวังในตัวเรา

พอจะขึ้นมหาลัยเราแทบไม่รู้เลยว่า เราอยากจะทำอาชีพอะไร แต่ครอบครัวก็หวังอยากให้เป็นครู เราก็มองว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ถ้าถามว่าชอบไหม ตอนนั้นคือเราเฉยๆ ก็เลยเลือกเรียนครู แต่คิดเผื่ออนาคตว่าสาขาไหนเรียนแล้วจะทำอย่างอื่นได้มากกว่าเป็นครู เราเลยเลือกสาขาการศึกษาพิเศษ

คือจะสอนเด็กพิการ ถ้าไม่เป็นครู เอาดีทางด้านภาษามือหน่อย ก็อาจจะเป็นล่ามได้ เรามองว่ามันมีหลายทางเลือก เราเลยเลือกสาขานี้ ซึ่งตอนเรียนมหาลัย เราเป็นคนที่ Energy เยอะ เลยเรียนไปด้วย ทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย ตั้งแต่ปี 1 จนเรียนจบ และแล้วก็เข้าสู่ช่วงวัยทำงาน อะเริ่ม

ลืมบอก เราสอบบรรจุได้ตอนปี 2 ในโครงการครูคืนถิ่น แต่แล้วด้วยความพิเศษของเอกการศึกษาพิเศษ คือ สามารถบรรจุได้ทั่วประเทศ เพราะขาดแคลนบุคลากร และเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ

ตอนฝึกสอนเรารู้อยู่แล้วว่า บริบทของโรงเรียนในสังกัดนี้ จะเป็นโรงเรียนอยู่ประจำ (ตอนฝึกสอนเราฝึกในโรงเรียนเฉพาะทางความพิการ 'ร่างกาย' ) ซึ่งเวลา 08.00 -16.30 น เราจะอยู่ในฐานะครูประจำชั้นและครูผู้สอน หลังจากเวลา 16.30-08.00 น. ของอีกวัน เราจะอยู่ในฐานะครูหอนอน ชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่วันจันทร์-วันอาทิตย์ จะวนลูปอยู่แบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดของการลาออกในครั้งนี้

ขอบอกก่อนว่า เราได้โรงเรียนที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดีนะ คืออยู่ใกล้เมืองสะดวกสบาย มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีนักเรียนและลูกๆ หอที่น่ารัก เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด และแน่นอนไม่มีใครทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเต็มได้ตลอดเวลา ส่วนคนที่บอกว่าเป็นครูสบายจะมีอยู่ 3 ประเภท คือ

  1. คนนั้นไม่ได้เป็นครู
  2. เป็นครูที่อยู่ในโรงเรียนที่แฮปปี้จริงๆ ไม่สร้างภาระงานที่ไม่จำเป็น และไม่สร้างความเครียดให้กับคนในองค์กร
  3. คนที่เป็นครูมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ปี (อันนี้เราไม่ได้หมายถึงครูทุกคน ที่อายุราชการเกินนี้นะ เพราะบางคนทำงานจนวันสุดท้ายก่อนจะเกษียณ ถึงจะเกษียณแล้ว แต่ความเป็นครูก็ไม่เคยเกษียณก็มี)

ดังนั้น คนที่เป็นครูและกำลังจะเป็นครู จะรู้ว่าภาระหน้าที่ครูไม่ได้มีแค่งานสอน ซึ่งเรามองว่างานอื่นๆ มันมีได้ แต่มันไม่ควรสร้างภาระงานเยอะกว่างานหลักหรือเปล่า "มันละไม่ได้ แต่มันลดได้" มันเลยทำให้เรามีความคิดว่าเราไม่เหมาะกับระบบราชการ ย้ำว่านี่เป็นแค่ในมุมมองของเรา แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกโรงเรียนจะเป็นแบบนี้นะ เพราะอย่างที่บอกว่า เราก็ไม่ได้ว่าโรงเรียนที่เราเจอมันไม่ดีนะ ค่อยๆ อ่านและตีความอย่างมีสติเด้อ

เหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจลาออก คือ

1. ในความคิดเรา หน้าที่หลักของครูคืองานสอน แต่ในความเป็นจริงมันมีอบรม มีประชุม มีไปราชการ ต้อนรับคณะศึกษาดูงาน และงานนอกต่างๆ ที่ดึงเราออกจากห้องเรียนอีก 108 พันอย่าง

2. เรามองว่าการประเมินคุณภาพครูผู้สอน ควรประเมินจากสิ่งที่เด็กได้รับ ไม่ใช่เอกสารหรือรูปถ่าย เพราะเรามองว่าครูที่ไม่ได้ถ่ายรูปทำงาน ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ทำ ครูที่ทำเอกสารไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าเขาสอนไม่ดี ให้เด็กสะท้อนครู ให้ครูสะท้อนผู้บริหาร มันถึงจะทำให้โรงเรียนได้ข้อมูลจริงๆ ที่ควรจะพัฒนา

3. โครงการ กิจกรรม หรือรางวัลต่างๆ ที่แต่ละโรงเรียนทำ มันส่งผลกับนักเรียนหรือใคร เช่น โครงการโรงเรียนนี่โน่นนั่น โรงเรียนคุ....รรม 3 ดาว 4 ดาว เด็กมีคุ....รรม จริงๆ เหรอ เราว่าแต่ละโรงเรียน ควรเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับนักเรียนของตัวเองจริงๆ และทำแล้วเด็กได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าใครว่าอะไรดีก็ทำหมด เอาหมด แล้วจะเอาเวลาไหน ทำงานสอน ทำงานพิเศษ

4. จากข้อ 3 แน่นอนว่างานที่เยอะขึ้น มันกินเวลาชีวิตเราแน่นอน เวลานอนมานั่งทำงานอื่นๆ เวลาว่างต้องทำงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วไหนเวลาพักเวลาเตรียมการสอน เราเชื่อนะว่าครูไทยเก่ง แล้วก็จะสอนเด็กให้เก่งได้ ถ้ามีเวลาอยู่กับเด็กมากพอ

5. เรามองว่าครูส่วนใหญ่ไม่ค่อยโดนว่าเรื่องงานสอน แต่จะโดนตำหนิจากงานนอก หรืองานอื่นๆ มากกว่า แล้วการโดนตำหนิ หรือบั่นทอนจากงานที่ไม่ใช่งานหลัก เราว่ามันแย่กว่าโดนว่าเรื่องงานสอนอีกนะ อย่างน้อยถ้าเขาบอกว่าเราสอนไม่ดีหรืออะไร มันก็เป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพราะนั่นคืองานหลักไง แล้วมันก็มีผลดีกับนักเรียน แต่การโดนตำหนิเรื่องงานนอก แก้ไขไปแล้วมันมีผลดีกับใคร

6. เรามองว่าระบบมันไม่ค่อยแฟร์กับคนทำงาน อันนี้จะยกตัวอย่างเราเองนะ อย่างเราเงินเดือน 15,000 ไปราชการที่ กทม. เบิกได้แค่ค่ารถทัวร์ ซึ่งถ้านั่งรถทัวร์ต้องใช้เวลา 8-9 ชม. ถึงกทม. แล้วเอาแรงไหนไปอบรม

ถ้าอยากสบายต้องเสียส่วนต่างเอง แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นการไปราชการ ที่กินเวลาเสาร์อาทิตย์ นั่นคือการเสียสละวันหยุดของเรา แล้วสิ่งที่ตอบแทน หรืออำนวยความสะดวกให้เราคืออะไร ถ้ามีโรงแรมให้พัก มีอาหารให้กิน ไม่มีเบี้ยเลี้ยงให้ แล้วคนไปราชการจะรู้ว่าไปแต่ละครั้ง ต้องล้วงเงินตัวเองใส่ทั้งนั้น

7. นี่มองว่างานราชการเป็นงานที่คอนโทรลเวลาชีวิตไม่ค่อยได้ เช่น ถ้ามีหนังสือด่วน ก็ต้องทำเดี๋ยวนั้น อยู่ๆ ก็มีประชุม มีอบรมต่างๆ ในวันหยุด นี่เคยเจอจองตั๋วกลับบ้านช่วงปีใหม่ ค่าตั๋วไปกลับ 3,800 ซึ่งเราจองล่วงหน้าเป็นเดือน

ก่อนจะปิดปีใหม่ 3-4 วัน มีหนังสือมอบให้ไปราชการ ในวันที่เราจองตั๋วกลับบ้าน นอกจากต้องทิ้งตั๋วกลับบ้านแล้วนั่นนี่ ยังต้องจองตั๋วไปราชการในเวลากระชั้นชิดอีกต่างหาก คิดดูว่าจะโดนค่าตั๋วไปเท่าไร แต่เบิกได้แค่ค่ารถทัวร์ เราเลยเกิดคำถามว่า แล้วตั๋วที่ทิ้งไปล่ะ เราเรียกร้องจากใครได้ ในขณะที่คนอื่นได้หยุดกลับบ้าน แต่เรายังเสียสละไปทำงานอยู่ แล้วเราได้อะไร

สุดท้ายทุกคนมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต่างกัน เรามองว่า เวลา...ถ้ามันเสียไปแล้ว มันคือสิ่งที่เอากลับคืนมาไม่ได้ เราไม่อยากกลับมาดูแลพ่อแม่ในวันที่สายไป ไม่อยากตามหาความฝัน หรือความชอบของตัวเองในวันที่ไม่มีแรงจะทำแล้ว

มันเป็นการตัดสินใจที่ยากเหมือนกันนะ แต่เราก็เชื่อว่า ถ้าเรายังมีแรง มีความคิดที่อยากจะทำอะไรอยู่ ยังไงเราก็ต้องสร้างทางเดินของตัวเองได้ เราเลยเลือกที่จะออกจากราชการ ก่อนที่เราจะหมด Passion ในการมีชีวิต

แล้วก็อยากเป็นกำลังใจให้คนที่ไม่ได้ชอบในงานที่ทำ แต่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ตรงนั้น คุณเก่งมากเลยนะที่ผ่านมาได้ขนาดนี้ แล้วเราก็เชื่อว่าที่คุณยังอยู่ตรงนั้น คุณไม่ได้อยู่เพื่อตัวคุณเอง แต่คุณอยู่เพื่อคนข้างหลังคุณด้วย นั่นคือคุณค่าในตัวคุณ และคุณเก่งมากๆ เลยนะ อ่อนแอบ้างก็ได้ ร้องไห้บ้างก็ได้ ถ้าทำให้คุณสบายใจขึ้น และอย่าลืมเข้มแข็ง และให้กำลังใจตัวเองบ้างนะ.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Mint Pavee