บีบหัวใจคนเป็นพ่อ แชร์เคสอุทาหรณ์ อ้าง รพ.ให้ยาลูกวัย 2 เดือนกว่า สลับกับเด็กคนอื่น สุดท้ายต้องเข้า ICU โชคดีไม่เกิดเรื่องเศร้า
วันที่ 30 เมษายน 2566 มีรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพและข้อความอุทาหรณ์เตือนใจผู้ปกครอง โดยเล่าว่า อุทาหรณ์คนมีลูกเล็ก เกือบตาย ไร้การเยียวยา
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ลูกได้แอดมิตด้วยหลอดลมอักเสบ ณ โรงพยาบาลเด็กเอกชน แห่งหนึ่ง และหมอได้อนุญาตให้ออก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม โดยมีการให้ยามา หนึ่งในนั้นคือยา pseudoephedrine กลับมา
ก่อนกลับก็มีพยาบาลเอายามาให้และบอกวิธีการกิน โดยที่ผมและภรรยา รวมถึงแม่ยายไม่เอะใจ ก็จำวิธีที่กินตามขวดไป (โดยไม่มีการทวนชื่อหรือนามสกุลข้างขวดยา) พอออกจาก รพ. ผมก็กลับบ้านเพื่อเก็บข้าวของต่างๆ เพราะมานอน รพ.นาน และฝากลูกกับแม่ยายที่บ้านแม่ยาย ตกเย็นมารับ ภรรยาผมก็มาดูว่าให้ยาอะไรไปบ้าง เพราะลูกมีอาการอาเจียนออกมา
ปรากฏเจอยาของเด็กคนอื่น ซึ่งให้โดสยาที่สูงกว่ามาด้วย ลูกต้องกิน 0.8 เด็กอีกคนกิน 2.5 ลูกกินไป 3.3 เกินไปเยอะ จึงรีบไป รพ. แต่หมอไม่ให้ล้างท้อง เนื่องจากเกิน 1 ชม. ล้างไปไม่มีประโยชน์ จึงให้เข้า icu และให้น้ำเกลือเพื่อเฝ้าระวัง เนื่องด้วยยาตัวนี้มีผลต่อหัวใจ อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นเร็ว และอาจเกิดการช็อกได้
คืนนั้นผมต้องนอนเฝ้า มองดูลูกก็สงสาร แต่ทำอะไรไม่ได้ อัตราการเต้นหัวใจกับความดันลูกเยอะ ยิ่งตอนร้องไห้ เนื่องด้วยหมอให้อดนม ลูกก็หิว หิวก็ร้อง เราก็ทำได้แค่ปลอบ พยายามทำให้เขาหลับ พอร้อง หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง นอนผวาทั้งคืน กลัวลูกจะเป็นอะไร และถือว่าลูกผมโชคดี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ทำให้ลูกผมปลอดภัย สรุปนอน icu ไป 2 คืน นอนห้องธรรมดาอีก 1 คืน
...
ทั้งนี้ เจ้าของโพสต์ อ้างอีกว่า รพ.รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล แต่ไร้การเยียวยาใดๆ ทำลูกผมเกือบตาย ลองนึกภาพคนเป็นพ่อแม่ เด็กอายุ 2 เดือนกว่า คลอดก่อนกำหนด หนักประมาณ 4 โล มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ถ้ายาขวดนั้นโดสเยอะกว่านี้ ถ้ายาตัวนั้นไม่ใช่ยาตัวนี้ ลูกผมคงเสียชีวิตไปแล้ว กว่าลูกคนนี้จะเกิดมาได้ กว่าผมจะเลี้ยงเขามา คนมีลูกน่าจะเข้าใจว่า เหนื่อยและลำบากแค่ไหน
สุดท้าย ลูกผมเจ็บตัวฟรี โดนเจาะน้ำเกลือไป 3-4 รู เพราะหาเส้นไม่ได้ โดนเจาะเลือดไปอีกหลาย cc เกือบเสียชีวิต เพราะความประมาทของ รพ. บุคลากร หรือระบบ
ตัวผมและครอบครัว ต้องหยุดงาน จิตตก ไร้การเยียวยาใดๆ พยายามคุยกับ รพ. แล้ว เสียใจ เพราะเป็น รพ.ที่รักษาประจำ แต่พอมาเจอแบบนี้ บายจ้า
อยากให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ และฝากถึงผู้บริหารโรงพยาบาลว่า ถ้าเป็นลูกของคุณเจอแบบนี้ คุณคงไม่ทำแบบนี้กับผม
จากการสอบถามเจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า ล่าสุด (30 เมษายน 2566) ทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวยังไม่มีการติดต่อมา ซึ่งหากไม่มีการติดต่อมา ตนจะไปยื่นหนังสือที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ดูแล รพ.เอกชน โดยเบื้องต้นน่าจะไม่เกิน 2 สัปดาห์นี้ ขณะนี้ทางทนายอยู่ระหว่างร่างหนังสือ สุดท้ายนี้ตนอยากฝากว่า รพ.เอกชน นั้นเก็บค่ารักษาที่สูง ทางผู้ใช้บริการก็ไม่เคยต่อรอง แต่เวลามีปัญหาก็ควรรับผิดชอบให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แนะนำทั้ง 2 ฝ่าย คือพยาบาลเอายามาให้ จะเช็กทั้ง ชื่อ-สกุลคนไข้ ตัวยา ความแรง ขนาดยาที่ให้ จะลดความผิดพลาดตรงนี้ได้ ขณะที่คนที่ใช้ยา ควรอ่านฉลากทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะมันมีโอกาสผิดพลาดแบบเคสนี้เกิดขึ้นได้เสมอ จะได้ลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น