พยาบาลสาว เขียนจดหมายถึงพ่อแม่ เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดใจครั้งแรก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันไม่ลาออก จะขอสู้ เรียกร้องความยุติธรรมจนถึงที่สุด

จากกรณีที่ "น้องแป้ง" พยาบาลสาวประจำศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ ได้เขียนจดหมายระบายความอัดอั้น พร้อมขอโทษพ่อและแม่ ก่อนจะพยายามทำร้ายตัวเอง แต่เพื่อนมาช่วยไว้ได้ทัน ซึ่งในจดหมายยังได้ระบุข้อความถึงเรื่องรถของพยาบาลสาวที่ถูกขโมยไป ซึ่งแจ้งความไปแล้ว แต่คดีไม่คืบหน้า กระทั่งทราบว่าคนที่ก่อเหตุเป็นสามีของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ก.พ. 66 ร.ต.อ.เกษมสิษฐ์ ต่อกัน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้เรียกตัว น้องแป้ง มาพบเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมในคดี ซึ่ง น้องแป้ง ได้เดินทางมาพร้อมกับทนายความ โดยนำหลักฐานเป็นเอกสาร แชตการสนทนากับคู่กรณีเรื่องรถ มาส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาในการสอบสวนกว่า 1 ชั่วโมง ก่อนจะพา น้องแป้ง พร้อมทนายความ เข้าพบ พ.ต.อ.ภูวนาท ดวงดี ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม และรับฟังแนวทางด้านคดีที่จะดำเนินการหลังจากนี้

พ.ต.อ.ภูวนาท เปิดเผยว่า ทางคดีจากที่ทางพยาบาลได้มาแจ้งความเรื่องถูกขโมยรถจักรยานยนต์ไป ร้อยเวรเจ้าของคดีได้นัดหมายผู้เสียหายมาสอบปากคำเพิ่มเติม และรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ในส่วนสำนวนคดีก็ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการต่อไป ในฐานความผิดก็จะเป็นคดีลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ แต่ในส่วนของการเชื่อมโยงของผู้ต้องหาทั้งสองคนว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ต้องดูพยานหลักฐานที่ผู้เสียหายได้นำมายื่นเพิ่มเติม คาดว่าภายในอาทิตย์หน้าจะสามารถส่งเรื่องให้กับพนักงานอัยการได้ ในขณะที่ผู้ต้องหาเป็นข้าราชการสังกัดอยู่ในสรรพสามิตพื้นที่เชียงใหม่ ทางพนักงานสอบสวนก็จะได้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับทางต้นสังกัดเพื่อดำเนินการตามขั้นตอน

...

ขณะที่ น้องแป้ง เล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากเรื่องของการทำงานที่โดนกดดันก่อน จากนั้นก็มีเรื่องคดีเกี่ยวกับรถมาซ้ำเติม พอขอย้ายแผนกก็ไม่ให้ย้าย ก็ให้กลับไปอยู่ที่เดิมซึ่งกดดันมาก ทำให้รู้สึกว่าปัญหาเยอะหลายอย่างที่เข้ามาในเวลาเดียวกัน และขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ก็เหมือนไม่ได้ยิน ซึ่งตนรักในอาชีพนี้ ไม่พร้อมที่จะลาออก จึงเขียนจดหมายขอโทษพ่อแม่ ที่จริงตั้งใจจะนำไปยื่นให้ผู้อำนวยการ แต่วันนั้นทางผู้อำนวยการไม่อยู่ จึงฝากไว้ที่เลขาฯ หน้าห้อง จากนั้นก็เดินไปที่ระเบียงชั้น 3 แต่เลขาฯ เห็นก่อน จึงรีบวิ่งมาดึงมือ และเรียกคนมาช่วย

สำหรับเรื่องการกลับไปเริ่มงานนั้น ยังไม่ทราบว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ เพราะขณะนี้สภาพจิตใจยังไม่พร้อม และยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางผู้ใหญ่ ตอนนี้อยู่ในช่วงพักดูแลสภาพจิตใจ เพราะสภาพจิตใจแย่ เจอเรื่องมาเยอะ บางอย่างพูดไม่ได้ แม้แต่วันนี้ก็ยังพูดไม่ได้ การลาออกจากงานนั้นยืนยันว่าไม่ลาออก ที่ตัดสินใจเอาชีวิตตัวเองมาแลก เพราะไม่คิดลาออกอยู่แล้ว เจอเหตุการณ์หนักแค่ไหนก็ไม่ลาออก ส่วนการกลับไปทำงานที่เดิมขอแค่ย้ายแผนกก็พอ ไม่ต้องย้ายไปโรงพยาบาลอื่น เพราะในที่ทำงานก็ยังมีพี่บางส่วนยังเป็นที่พึ่งให้ได้อยู่

นอกจากนี้พอได้เห็นเหตุการณ์หลายๆ อย่างหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น มีการชี้แจงที่ขัดกับข้อเท็จจริง ทำให้คิดว่าไม่อยากเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยง เพราะถ้าวันนั้นเสียชีวิต คนตายพูดอะไรไม่ได้ ทำให้รู้ว่าควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสู้และเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด

ด้านคดีตอนนี้หนักใจมาก เราใช้หลักฐานความจริงทั้งหมดแต่เรื่องช้าเหลือเกินไป ขณะที่ทางครอบครัวเป็นห่วงเรื่องการทำงาน หากกลับไปทำงานจะเป็นอย่างไร ห่วงสภาพจิตใจ ห่วงเรื่องคดีความที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็โดนคู่กรณีคุกคาม ทางพ่อแม่ก็เป็นห่วงในเรื่องนี้.