สธ.-กทม. ยืนยันหลัง 1 ต.ค. 65 บริการวัคซีนต่อเนื่อง ไม่มีค่าใช้จ่าย แม้ปรับ โควิด เป็นโรคติดต่อเฝ้าระวัง ส่วน "ไฟเซอร์" สำหรับเด็ก 6 เดือนถึงต่ำกว่า 5 ขวบ จะมาถึงในอีก 2 อาทิตย์

วันที่ 1 ต.ค.65 จากกรณีที่มีการปรับให้ "โควิด-19" เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลทุกระดับ รวมถึงการปรับจุดฉีดวัคซีน ซึ่งมีการยุบศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อไปแล้ว โดยให้บริการฉีดวันสุดท้าย เมื่อ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

เกี่ยวกับกรณีของวัคซีน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ประมาณ 144 ล้านโดส การรับเข็มกระตุ้นยังต่ำกว่า 40% มีเพียงเขตสุขภาพที่ 13 กทม. ที่รับเข็มที่สามเกิน 40%

ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป แม้โรคโควิด-19 จะปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แต่สิ่งสำคัญคือการรับเข็มกระตุ้น โดยในส่วนของสถานพยาบาลต่างๆ ในภูมิภาค 76 จังหวัด สามารถไปรับบริการโรงพยาบาลภาครัฐได้ทั้งหมดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่มีการเตรียมและกระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งชนิดเชื้อตาย ไวรัลเวกเตอร์ mRNA และโปรตีนซับยูนิต ไปทุกพื้นที่ 

สำหรับการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป LAAB สำหรับกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การรับสามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการฉีดได้ เช่น ผู้ป่วยไตวายที่รับการฟอกไต ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบหรือแพ้ภูมิตนเองที่ได้รับยากดภูมิ รวมถึงผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำกลุ่มอื่นๆ

ส่วนการรับวัคซีนสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 4 ปี อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมให้บริการ ซึ่งจะมีการฉีด 3 เข็ม ในช่วงสัปดาห์ที่ 0, 4 และ 12 โดยสามารถรับพร้อมวัคซีนชนิดอื่นได้ หากเด็กมีประวัติติดเชื้อให้เว้นระยะห่างไปก่อน 3 เดือน

...

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเทียบกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยช่วง 2 สัปดาห์นี้พบว่า ผู้ป่วยปอดอักเสบลดลงจาก 650 ราย เหลือ 480 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจลดลงจาก 331 ราย เหลือ 263 ราย ขณะที่ผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 7 วัน จาก 17 ราย ลดเหลือ 12 ราย ขณะที่ผู้ป่วยรายวัน ผู้รักษาหาย และอยู่ระหว่างการรักษามีแนวโน้มดีขึ้นทั้งหมด

แต่สิ่งสำคัญคือ ผู้เสียชีวิตในสัปดาห์ที่ผ่านมา 72 ราย หรือเฉลี่ยวันละ 10 รายนั้น พบว่าเป็นผู้สูงอายุเกือบทั้งหมด โดยอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปถึง 47 ราย ขณะที่อายุ 60-69 ปี มี 13 ราย เกือบทุกคนมีโรคประจำตัว นอกจากนี้ ยังพบว่า 51% ไม่ได้รับวัคซีน ส่วนผู้ที่รับวัคซีนมา 2 เข็ม แต่เข็มสองนานเกิน 3 เดือน พบเสียชีวิต 29%

นพ.โสภณ กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า ช่วงการระบาดของโอมิครอน BA.4/BA.5 ในเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม 2565 การฉีดวัคซีน 2 เข็มยังได้ประโยชน์ป้องกันการป่วยหนัก 60% และป้องกันเสียชีวิต 72% แต่จะดีกว่าถ้าฉีดเข็มกระตุ้น การป้องกันป่วยหนักเพิ่มขึ้นเป็น 83% ป้องกันการเสียชีวิต 93% และหากฉีดเกิน 4 เดือนแล้วต้องรับเข็ม 4 จะช่วยป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ 100% ดังนั้น ครอบครัวที่มีกลุ่มเสี่ยง 608 ถ้ายังไม่ได้รับวัคซีนหรือยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้นต้องพามารับ ซึ่งจากข้อมูลพบว่ายังมีผู้สูงอายุอีก 1.9 ล้านคนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ การรับวัคซีนเข็มกระตุ้น จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ซึ่งข้อมูลพบว่า การฉีดในผู้สูงอายุช่วยลดการเสียชีวิตลง 41 เท่า เมื่อเทียบคนไม่ได้รับวัคซีน และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม โควิด จะเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง สถานที่สาธารณะ พื้นที่ปกติจะผ่อนคลายความเข้มงวด ดังนั้น คนไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจึงควรรีบมารับ เพื่อป้องกันความเสี่ยง

และหากปีหน้ามีวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ ภาครัฐก็พร้อมจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ สำหรับคนที่ต้องการ โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเสี่ยง ส่วนวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก 6 เดือนถึงต่ำกว่า 5 ขวบ จะมาถึงใน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

พญ.ป่านฤดี มโนมัยพิบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สำหรับวันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป กทม.ยังให้บริการวัคซีนตามความสมัครใจอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่ม 608 จะให้รับวัคซีนเข็มสามเกิน 70% โดยจะเปิดบริการทั้งนัดหมายและวอล์กอิน (Walk in) เช่น

  • ศูนย์บริการสาธารณสุขทั้ง 69 แห่ง 8.00-12.00 น.
  • โรงพยาบาลในสังกัด กทม.
  • ศูนย์ฉีดวัคซีนกีฬาเวสน์ 2 ไทย-ญี่ปุ่นดินแดง เปิดทุกวัน 8.00-16.00 น.

หากมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนประสานศูนย์บริการสาธารณสุขหรือสำนักงานเขต ดูแลให้วัคซีนเชิงรุกในพื้นที่ที่ต้องการ ส่วนเรื่องผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนสามารถติดต่อตามสิทธิสุขภาพของตน ส่วนกรณีข้อมูลในหมอพร้อมไม่ถูกต้อง เราเปิดสายด่วน 1555 ประสานแก้ไขข้อมูลได้.