เปิดใจลูกสาว แจ้งความจับพ่อ เหตุนำแมวไปปล่อยทิ้ง จนถูกรถชนตาย ตัดพ้อไม่อยากเลี้ยง ทำไมไม่บอก เผยเหตุผลที่แจ้งความ อยากให้เคารพสิทธิ์คนอื่นบ้าง

วันที่ 26 กันยายน 2565 จากกรณีที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์ เมื่อแฟนเพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT ได้เผยแพร่เรื่องราวของ ลูกสาววอนมูลนิธิแจ้งความพ่อ โทษฐานที่ขโมยเอาแมวไปปล่อยทิ้ง จนถูกรถชนตาย

ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวไปพูดคุยกับ น.ส.เอ (นามสมมติ) ได้เปิดเผยทั้งน้ำตา โดยอ้างว่า ตนไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ ออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว เนื่องจากทนพ่อที่มีอารมณ์โมโหร้าย และพูดจาหยาบคายไม่ได้ จึงไม่ได้ติดต่อ หรือพูดคุยกับอีกพ่อเลย ติดต่อเพียงแม่เท่านั้น

โดยก่อนที่เกิดเหตุ ตนต้องไปทำธุระที่กรุงเทพฯ จึงฝากแมวและกระบะทรายไว้ที่บ้านกับแม่ ซึ่งเลี้ยงกระต่ายไว้ด้วย ในคืนนั้นฝนตกฟ้าร้องดังมาก และเช้าวันต่อมาพบว่ากระต่ายตายแล้ว

คาดว่ากระต่ายอาจจะตกใจเสียงฟ้าร้อง วิ่งไปมาในบ้านทั้งคืน แต่คนที่บ้านกลับโทษว่าเป็นเพราะแมวตน ทำให้กระต่ายตาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะแมวตนฝากอยู่ในกรงนอกบ้าน แต่กระต่ายเลี้ยงอยู่ในบ้าน และหลังจากเกิดเรื่องก็ไม่มีใครบอกให้ตนมารับแมวกลับไป

แต่ผ่านไปหนึ่งวัน แม่โทรมาบอกให้ลองหาตำแหน่งที่อยู่ของแมว เนื่องจากหายตัวไป ตนจึงค้นหาจาพิกัดแอร์แท็กที่ติดไว้ที่คอแมว พบว่าพิกัดของแมวอยู่อีกซอย ที่ไม่ใช่ซอยบ้าน ก็เกิดความสงสัยว่าทำไมไปอยู่ตรงนั้น ปกติกลัวคน และก็ไม่เคยวิ่งไปไหนไกล

จึงได้พาแม่ตนไปดูตำแหน่งที่จุดสุดท้ายแสดงผล แต่ก็ไม่พบแมว เมื่อลองสอบถามพ่อ ได้รับคำตอบว่าไม่เห็น จึงได้พากันกลับบ้าน เพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว

...

ต่อมา ตนได้โพสต์ตามหาแมวในเพจ "พัทยาทอล์ค" จากนั้นมีคนแสดงความคิดเห็น พร้อมกับแนบรูปแมวมา ถามว่าใช่แมวตนหรือไม่ ตนรู้ได้ทันทีว่าใช่ จึงติดต่อเจ้าของคอมเมนต์ไป เพื่อสอบถามรายละเอียด

ด้านเจ้าของคอมเมนต์เล่าให้ตนฟังว่า ขณะที่กำลังขายของอยู่ที่ร้านตอนเที่ยง ได้ยินเสียงหมาเห่า พบว่ามันกำลังไล่กัดแมวอยู่ จึงให้แฟนไปช่วยแมวมาได้

ในเวลาต่อมา มีคนขับรถพ่วงขี่รถเข้ามาแจ้งว่าเป็นเจ้าของแมว ก่อนจะเอาคืนไป แม้เจ้าของร้านจะสงสัยแต่ให้คืนไป พร้อมกับบอกคนขับว่า รถพ่วงข้างที่ไม่มีอะไรกั้นเลย หากเอาน้องใส่แบบนั้น เดี๋ยวน้องก็กระโดดลงจากรถ แต่คนขับก็ไม่สนใจ ขับรถออกไป

ผ่านไปสักพักได้ยินเสียงร้อง จึงรีบออกไปดู พบว่าแมวกระโดดออกจากรถพ่วงข้าง แล้วโดนรถชน ซึ่งในตอนนั้นน้องยังไม่ตาย แต่หลบไปอยู่ใต้ท้องรถ จึงได้พากันช่วยน้องออกมา แต่คนขับรถพ่วงข้างก็วนรถกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับอุ้มแมวไป

ชาวบ้านแถวนั้นต่างสันนิษฐานว่า ไม่ใช่เจ้าของแมวแน่ๆ เพราะไม่มีอาการเสียใจเลย และจึงมีคนอาสาขี่รถตามออกไปดู พบว่าคนขับรถดังกล่าวเอาแมวไปโยนทิ้งที่พงหญ้า ซึ่งตรงกับจุดพิกัดสุดท้ายที่จีพีเอสแสดง แม้เจ้าของร้านจะช่วยพยายามปั๊มหัวใจ ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้

เมื่อได้รู้เรื่อราวทั้งหมด น.ส.เอ จึงเดินทางไปรับศพแมว พบว่าแอร์แท็กที่คอหายไป จากนั้นแม่ก็ได้โทรหาบอกว่า พ่อรับสารภาพว่าเป็นคนเอาแมวไปปล่อยวัด ทำให้โดนรถชนตาย จึงได้เอาแอร์แท็กคอไปทิ้งแม่น้ำ

น.ส.เอ เล่าต่อว่า ตนคิดว่าพ่อน่าจะเอาแมวไปหาหมอก่อน หรือไม่ก็มาบอกตนว่าแมวตายแล้วนะ น่าจะมีความคิดความรู้สึกบ้าง ตอนที่ตนถามหาแมว 

เมื่อถามว่า ทำไมพ่อถึงทำแบบนี้ เขาตอบเพียงว่า แค่จะเอาแมวไปปล่อยวัด แต่แมวมาถูกรถชนตาย เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความรู้สึกของตน ถ้าไม่อยากเลี้ยง ทำไมไม่บอกดีๆ ตนจะได้เอากลับไป 

ส่วนเหตุผลที่แจ้งความ นางสาวเอ เปิดเผยว่า อยากให้เขารู้ในสิทธิ์ของคนอื่นบ้าง ไม่ใช่เป็นพ่อแม่แล้วทำอะไรก็ได้ ตนยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งแมวให้เลี้ยง แค่ฝากไว้ก่อนเท่านั้น ซึ่งค่าใช้จ่ายทุกอย่างตนก็พุดคุยกับแม่เรียบร้อยแล้วเข้าใจกันดี 

แต่พ่อนั้นมักจะใช้ถ้อยคำหยาบคายพูดคุยกับตนเสมอ ซึ่งเบื้องต้นได้ให้ มูลนิธิ Watchdog แจ้งคนดำเนินการไว้ที่ สภ.บางละมุง เนื่องจากตนไม่สามารถทำได้เอง.

คลิกเพื่อดูโพสต์ต้นฉบับ

ข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT