"ทนายอนันต์ชัย" ไขข้อกฎหมาย ปม "ทนายความท่านหนึ่ง" แจ้งความ "แพรรี่ ไพรวัลย์" ในข้อหาความผิดดูหมิ่น "พระชาตรี" พร้อมเผยชัดๆ ในมุมมองข้อกฎหมาย สามารถเอาผิดได้ไหม
จากกรณี "แพรรี่" ไพรวัลย์ วรรณบุตร ไลฟ์สดโต้ตอบ "พระชาตรี เหมพันธ์" เจ้าอาวาสวัดพุทธวิหาร วัดไทยแห่งเดียวใน นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย ซึ่งออกมาไลฟ์พาดพิงแพรรี่ว่า เนรคุณศาสนา และยังเรียก "อี" นำหน้าชื่อ จนกลายเป็นดราม่าบนโลกโซเชียล ซึ่งต่อมา เพจของ "ทนายธรรมราช The Lawyer of legality" ได้โพสต์ขณะไปแจ้งความเอาผิดแพรรี่ ที่โรงพักเมืองฉะเชิงเทรา ในข้อหาความผิดดูหมิ่นพระชาตรี หรือคณะสงฆ์ทำให้คณะสงฆ์ได้รับความเสื่อมเสีย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (ทนายความ "แพรรี่" บอก งานนี้เดิมพันด้วยใบอนุญาตว่าความ สู้กลับคดีทนายธรรมราช)
ล่าสุด วันที่ 24 ก.ย. 2565 ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า มุมมองข้อกฎหมายของทนายอนันต์ชัย ไชยเดช กรณีการแจ้งความดำเนินคดีในความผิดต่อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 44 ตรี ผมชมรายการโหนกระแส ของคุณหนุ่ม กรรชัย ที่มีทั้งทนาย อดีตพระภิกษุสงฆ์ และฆราวาส มาแสดงความคิดเห็นกัน ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ จึงอยากจะแสดงความคิดเห็นในฐานะนักกฎหมายและทนายความไว้เป็นความรู้ โดยขอใช้ภาษาชาวบ้านเพื่อง่ายต่อความเข้าใจของท่านมิได้เป็นนักกฎหมายดังนี้
กรณีที่พระชาตรี ได้ไลฟ์สด กล่าวหาคุณไพรวัลย์ก่อน ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 และต่อมาคุณไพรวัลย์โต้ตอบเอาบ้าง ดังนี้ พระชาตรีจะสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับคุณไพรวัลย์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทได้หรือไม่ ปัญหาข้อนี้อธิบายได้ว่า พฤติการณ์ระหว่างพระชาตรีกับคุณไพลวัลย์เปรียบเสมือนต่างฝ่ายต่างสาดน้ำเข้าใส่กัน ทำนองเดียวกับการสมัครใจวิวาท เมื่อเป็นดังนี้ทั้งพระชาตรีและคุณไพรวัลย์ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ผู้เสียหายจึงหามีอำนาจร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นประมาทซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวได้ไม่
...
หากกล่าวในมุมของพระชาตรี ยังถือว่า พระชาตรีเป็นผู้ก่อและมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนี้อีกด้วย อย่างไรเสียพระชาตรี ก็มิใช่ผู้เสียหาย และมิอาจดำเนินคดีกับคุณไพรวัลย์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทได้แต่อย่างใด สำหรับกรณีที่มีทนายความท่านหนึ่ง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับคุณไพรวัลย์ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 44 ตรี "ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์…อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย หรือความแตกแยก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
คำว่า "คณะสงฆ์" มีคำนิยามไว้ใน มาตรา 5 ทวิ ว่า คณะสงฆ์หมายความว่า "บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปัชฌาย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร" และตามพจนานุกรมไทย ได้ให้คำจำกัดความ คำว่า คณะ ไว้หมายถึงหมู่ พวก (ซึ่งแยกมาจากส่วนใหญ่) กลุ่มคนผู้ร่วมกันเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คณะกรรมการ คณะสงฆ์ คณะนักท่องเที่ยว หน่วยงานในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่เทียบเท่า ซึ่งรวมภาควิชาต่างๆ สรุปคำว่าคณะสงฆ์ จะต้องประกอบด้วยพระภิกษุสงฆ์ ตั้งแต่ 2 รูปขึ้นไป จึงจะเป็นคณะสงฆ์ได้ พระภิกษุสงฆ์ เพียง 1 รูป ไม่สามารถเป็นคณะสงฆ์ได้ การที่คุณไพรวัลย์ กล่าวหา พระชาตรี จึงมิใช่เป็นการกล่าวหาคณะสงฆ์
ดังนั้น จึงเห็นว่ากรณีนี้ทนายไม่สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคุณไพรวัลย์ ทั้งข้อหาหมิ่นประมาทคณะสงฆ์ ตามมาตรา 44 ตรี แห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และข้อหาหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 ที่สำคัญถ้าหากมีการแจ้งความโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงอาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จเป็นของแถมอีกต่างหาก จึงแสดงความเห็นในข้อกฎหมายมา ณ โอกาสนี้ เพื่อมิให้เกิดความสับสนเสียหายต่อพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและต่อคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา.
ขอบคุณเฟซบุ๊ก ทนาย อนันต์ชัย ไชยเดช