- จากตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติสีขาวดำ พัฒนามาเป็นตู้สติกเกอร์ purikura แดนอาทิตย์อุทัย ที่สร้างวัฒนธรรมการถ่ายรูปของวัยรุ่นยุค 90
- มนตร์เสน่ห์ของสินค้าแอนะล็อก ที่โดนใจคนยุคดิจิทัล ผสมผสานกับการเชื่อมโยงความทรงจำในอดีต ทำให้ "ตู้สติกเกอร์" กลับมานิยมอีกครั้ง
- Photo Booth แหล่งบันทึกความทรงจำแสนสนุก และพื้นที่ประชันผลงานศิลปะ ขับเคลื่อนวงการสร้างสรรค์ของสังคมไทย
ยังคงเป็นเทรนด์ฮิตติดลม ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการถ่ายรูป "Photo booth" หรือ "ตู้สติกเกอร์" ที่เห็นกระจายอยู่ตามพื้นที่รอบกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านคาเฟ่ ร้านอาหาร หรือแม้แต่ที่งานนิทรรศการ
โดยแต่ละตู้ก็มีเอกลักษณ์และมีลูกเล่นมากมาย เรียกได้ว่าถูกใจวัยรุ่น และกลับมาเป็นธุรกิจมาแรงแห่งยุคอีกครั้ง ที่สร้างรายได้มหาศาล ทำให้หลายร้านต่างหาตู้สติกเกอร์มาตั้งไว้ที่ร้าน เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย และดึงดูดลูกค้า
...
หลายคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมตู้ถ่ายรูปสติกเกอร์วัยรุ่นในยุค 90 ที่เคยหายไปหลายสิบปีไปถึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง วันนี้เราจะพาทุกคนย้อนวันวาน และหาคำตอบไปพร้อมกัน
รู้จักที่มาตู้ถ่ายรูป : กล่องสี่เหลี่ยมเก็บความทรงจำ
ตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติ เกิดขึ้นครั้งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1925 เป็นผลงานของนักประดิษฐ์ Anatol Josepho ทำขึ้นครั้งแรกเป็นภาพถ่ายขาวดำ ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ผู้คนต่างต่อแถมเข้าคิวถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน จนได้มีการติดตั้งตู้ถ่ายรูปรอบเมือง และพัฒนาเทคโนโลยีจนกลายเป็นภาพสี
ต่อมาในปี 1995 บริษัท Atlus และ Sega ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนาตู้สติกเกอร์ขึ้นมา ชื่อว่า "Purikura" ที่มาจากคำว่า Purinto Kurabo ซึ่งเป็นสำเนียงญี่ปุ่น ของคำว่า "Pint Club" ในภาษาอังกฤษ หรือที่คนไทยเรียกกันทั่วไปว่า "ตู้สติกเกอร์"
มีลักษณะการทำงานคล้ายกับเหมือนตู้ถ่ายภาพทั่วไป แต่สามารถเลือกกรอบรูป ฟิลเตอร์แต่งหน้าอัตโนมัติ หรือมี AI ให้ตรวจจับดวงตา เพิ่มสีแสง และยังสามารถแต่งเติมสติกเกอร์ หรือใส่ข้อความได้อีกด้วย
ในยุคที่กล้องถ่ายรูปยังราคาสูง มือถือทำได้แค่โทร. ส่งข้อความ การถ่ายตู้สติกเกอร์จึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการบันทึกความทรงจำ และเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์กับวัยรุ่นในยุคนั้นเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะผู้หญิง ช่วงเวลาของการชวนเพื่อนๆ เข้าไปถ่ายภาพร่วมกัน แต่งแล้วก็ปรินต์ออกมาเป็นสติกเกอร์ใบเล็กๆ พกติดตัวในกระเป๋าสตางค์ ติดตามโต๊ะเรียน ตู้เย็นที่บ้าน หรือแลกกับเพื่อนๆ
ทำให้กระแสการถ่ายรูปด้วยตู้สติกเกอร์เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว และกระจายไปทั่วเอเชีย ทั้งไต้หวัน เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จีน เวียดนาม รวมถึงวัยรุ่นไทยในยุคนั้นด้วย
ทำไม "ตู้สติกเกอร์" ถึงกลับมาฮิต
- ความรู้สึกคิดถึงอดีต กลไกหลีกหนีความเครียด
ในขณะที่เทคโนโลยีก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บางช่วงเวลาภายในจิตใจของคนเรา กลับคิดถึงเรื่องราวในอดีต หรือความทรงจำในวัยเด็ก
ยิ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นระยะเวลากว่า 2 ปี ทำให้หลายๆ คน ต้องทำงานและเรียนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิต ห่างหายไปจากกิจกรรมของสังคม ไม่ได้พบปะพูดคุย หรือสังสรรค์กัน จนอาจมีความรู้สึก ยิ่งคิดถึงความทรงจำในอดีตเพิ่มขึ้นไปอีก
ดังที่การศึกษาด้านจิตวิทยา ระบุว่า การคิดถึงอดีต เป็นกลไกในการหลีกหนีความเครียดจาก ปัญหาสังคม ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ สงคราม ภัยธรรมชาติ ฯลฯ เพราะจะช่วยเยียวยาจิตใจและเพิ่มความสุขได้
ช่วงเวลานี้ทำให้หลายธุรกิจ นำความรู้สึกโหยหาอดีต มาสร้างเป็นกลยุทธ์ "Nostalgia Marketing" หรือ การตลาดย้อนยุค ขายความทรงจำในอดีต ให้เราสามารถเป็นเจ้าของเหมือนได้ย้อนเวลากลับไป
ดังจะเห็นได้จาก เทรนด์กล้องฟิลม์ ที่หลายบริษัทกลับมาผลิตฟิล์มขาว-ดำ อีกครั้ง หรือจะเป็นอุตสาหกรรมดนตรี ที่เริ่มขายเทปคาสเซ็ท หรือแผ่นเสียง ให้เป็นของสะสม ทั้งนี้ยังมีเทรนด์การแต่งตัวย้อนยุค รวมถึงการกลับมาของตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติ
- มนตร์เสน่ห์ของสินค้าแอนะล็อก ที่โดนใจคนยุคดิจิทัล
แนวคิดของการตลาดย้อนยุค ไม่ได้ขายให้สำหรับคนรุ่น Baby Boomers – Gen x เท่านั้น แต่ยังส่งผลกับคนรุ่นใหม่ทั้ง ทั้ง Gen Y และ Gen Z ที่ไม่ได้เติบโตมากับยุคแอนะล็อก แต่ก็ยังสนใจกล้องฟิล์ม หรือสะสมแผ่นเสียงศิลปินคนโปรด เพราะเป็นสิ่งที่นับวันจะหาได้ยากยิ่ง บวกกับความคลาสสิก เป็น "เสน่ห์" ที่ดึงดูดอยากที่จะมีโมเมนต์ลองอยู่ในช่วงเวลาโลกย้อนยุคดูบ้าง
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ตู้สติกเกอร์ที่เคยเป็นสินค้ายอดฮิตในอดีต กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ที่พัฒนาเข้ากับเทคโนโนโลยี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเจนเก่า เจนใหม่ในยุคดิจิทัล
รวมถึงการกระตุ้นตลาด ด้วยการแชร์ภาพผ่านสื่อโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ตู้สติกเกอร์กลับมาพูดถึงอีกครั้ง ในช่วง 1-2 ปีมานี้ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
- ความโดดเด่นของตู้สติกเกอร์รูปแบบใหม่
- จ่ายเงินผ่านแอปธนาคาร โดยการแสกน QR Code
- พัฒนาลูกเล่น หรือองค์ประกอบของตู้ต่างๆ ให้มีเอกลักษณ์โดดเด่นมากขึ้น
- เข้าถึงทุกเพศ ทุกวัย มีตัวเลือกให้หลายหลายมากสไตล์
- สามารถโหลดภาพออกมาเป็นไฟล์ดิจิทัล และไฟล์ GiF ไลฟ์แอ็กชั่น เก็บไว้ดูได้เก็บไว้ในมือถือได้ เพื่อแชร์ลงโซเชียลมีเดีย
- ราคาที่จับต้องได้ เริ่มต้นตั้งแต่ 90 บาท
- ใช้บริการง่าย มีตั้งอยู่ตามสถานที่ต่างๆ รอบเมือง เช่น ห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ ร้านค้า รวมไปถึงตามงานอีเวนต์
Photobooth ตู้สติกเกอร์ที่เป็นมากกว่าการถ่ายรูป
- เป็นพื้นที่เก็บเกี่ยวความทรงจำ และความสุข
สำหรับผู้ใหญ่ หรือคนในยุค 90 นั้น หากได้มีโอกาสไปถ่ายรูปในตู้สติกเกอร์อีกครั้ง ก็คงจะเป็นเหมือนการได้ย้อนเวลากลับในอดีต ส่วนคนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลอง ก็ถือเป็นการสร้างความทรงจำที่ดี ทั้งความรู้สึกตื่นเต้น ความสนุกในการคิดท่าทางถ่ายรูป ได้ใช้เวลาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน หรืออาจจะได้พบเจอเพื่อนใหม่ จากทักทายคนที่รอต่อคิวหน้าหลัง
นับเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่เราสร้างได้ง่ายๆ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากเราจะได้ภาพสติกเกอร์น่ารักๆ มาเก็บไว้ หรืออัปลงอวดโซเชียลแล้ว มั่นใจว่าทุกคนจะต้องได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะกลับไปด้วยอย่างแน่นอน
- พื้นที่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
หลายคนตั้งคำถามว่า "ตู้สติกเกอร์กลับมา แล้วจะหายไปแบบอดีตหรือไม่" คงเป็นเรื่องไม่อาจตอบได้ แต่เชื่อว่าเป็นโจทย์สำคัญที่ผู้ผลิตทุกคน จะต้องพัฒนาแบรนด์ของตัวเองให้อยู่รอด
รวมถึงจะต้องแข่งขัน ผลิตตู้ถ่ายภาพในแบบของตัวเอง ให้มีเอกลักษณ์ ผุดไอเดียเจ๋งๆ เพื่อครองใจผู้บริโภค ดังจะเห็นจากการเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เช่น การถ่ายรูปยืนบนตู้กระจก หรือ เซตตู้ถ่ายรูปให้เป็นห้องดอกไม้
Photo Booth จึงกลายเป็นพื้นที่ในเสริมสร้างผลงานศิลปะ กำเนิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนวงการออกแบบ ของประเทศไทยให้ไปข้างหน้า
แจกพิกัดตู้สติกเกอร์ทั่วกรุง ที่ควรเก็บให้ครบในปี 2022
- Lido Connect
พิกัด สยามสแควร์ ชั้น 1
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 10.00 – 21.00 น. - Gump’s Ari
พิกัด อารีย์ซอย 4 ฝั่งเหนือ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 10.00 – 21.00 น. - Daddy And The Muscle Academy
พิกัด : สยามสแควร์ซอย 2
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 11.30 – 20.30 น. - WWA Cafe x Chooseless
พิกัด : ซอยเอกมัย 21
เวลาเปิดปิด : เปิดวันพุธ-อาทิตย์ 11.00 – 20.00 น. - FICS
พิกัด : สุขุมวิท 31 (ซอยสวัสดี) ใกล้กับ BTS พร้อมพงษ์ทางออก 5
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 10.00 – 17.30 น. - Kim & Co. x Casa Blanca
พิกัด : สยามสแควร์ ซอย 2
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 11.30 – 20.30 น. - ASAP.BKK Official
พิกัด : สยามสแควร์ซอย 3
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 12.00 – 21. 00 น. - MATCHBOX MULTI-STORE
พิกัด : สยามสแควร์ซอย 7
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 12.00 – 21. 00 น. - Unbidden.cafe
พิกัด : mrt บางยี่ขันทางออก 1 ใต้โรงหนังธนบุรีรามา
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน 11.00 - 18.00 น.
ผู้เขียน : PpsFoam
กราฟิก : Chonticha Pinijrob