ดราม่า #ฝึกงานแบไต๋ ปมนักศึกษาฝึกงาน เมินทักทาย สุดท้าย "หนุ่ย" CEO ลบโพสต์ ขอโทษเด็กทั้งสองคนต่อหน้า ยอมรับโทษถูกแขวนบนโซเชียล

กลายเป็นดราม่า ในโลกออนไลน์ สำหรับ #ฝึกงานแบไต๋ เมื่อ หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ เจ้าของแบไต๋ไอที เว็บไซต์ด้านไอทีและพิธีกรด้านไอทีชื่อดัง ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก กรณีรับเด็กฝึกงาน 2 คนเข้ามาทำงาน แต่น้องทั้งสองคนนี้ ทำให้คนทั้งบริษัทกำลังเจอ นักศึกษาฝึกงานที่บั่นทอนใจ จนบริษัทต้องตัดสินใจหยุดรับนักศึกษาฝึกงานชั่วคราว เพื่อทบทวนตัวเอง และจะเปิดอีกครั้ง เมื่อมีความพร้อมในการรับมือมากกว่านี้ 

ทั้งนี้ หนุ่ย ได้อ้างว่า สิ่งที่พบเจอในการฝึกงานของน้องในครั้งนี้ คือ การที่น้องไม่ทักใครเลยในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน แม่บ้าน พี่หัวหน้า หรือผู้บริหาร โดยในทุกวัน น้องมาถึงก็จะก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง แต่ทำได้ดี ซึ่งอันนี้ต้องชม แต่การไม่สื่อสารกับใคร เดินสวนก็ไม่มอง ไม่สนใจ จะว่าไม่มั่นใจในตัวเอง ก็ไม่ใช่ เพราะทุกคนเคยผ่านการแนะนำตัวบนเวทีมาแล้ว

พยายามให้น้องมีส่วนร่วม ยืนยันไม่ได้ต้องการให้ "ไหว้"

อย่างไรก็ตาม พี่ๆ ในออฟฟิศรู้ปัญหานี้ดี และพยายามปลุกเร้าการมีส่วนร่วมของน้อง เช่น ทักทายกันข้ามโต๊ะ แต่น้องก็ยังไม่ทักใคร ทางหนุ่ย เองจึงนำเรื่องนี้ไปพูดคุยใน Town hall การประชุมใหญ่ของบริษัทถึง 2 ครั้ง เพื่อนำเสนอถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน และประสบการณ์ที่เหนือกว่ายุค work from home ระบุว่านักศึกษาในช่วง 2 ปีนี้จะลำบากกว่ารุ่นก่อน ๆ เพราะไม่ได้เจอใคร แม้ส่งงานมาดีแต่ไม่สนิทใครเลย เจอกันข้างนอกก็คงจะไม่กล้าทัก เพราะว่าเราเองก็จำน้องไม่ได้ นับว่าน่าเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้สานสัมพันธ์ ออกสังคม สะสมคอนเน็กชั่น ตามคุณค่าที่คนทำงานทุกคนพึงได้รับ ทั้งนี้ หนุ่ยยืนยันว่า สิ่งที่ย้ำชัดในการประชุมคือ พี่ๆ ไม่ได้ต้องการให้ไหว้ แค่ต้องการให้ทักทายกัน

...

เผยจุดแตกหัก

ต่อมา หนุ่ยได้เล่าว่า จุดแตกหัก อยู่ที่อาจารย์ที่ปรึกษาของน้อง โทร. มาหา Chief Operation Officer (Coo) บอกว่า ดีใจมากที่ทางแบไต๋ รับน้องทั้งสองคนเข้าไปทำงาน ทาง Coo จึงได้เล่าปัญหาทั้งหมดให้ฟัง และว่าทางเราได้พยายามกันมาจนครบ 3 เดือนที่จะฝึกงานแล้ว 

ซึ่งอาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่า อยู่ที่สถาบัน น้องก็เป็นแบบนี้ คือ อยู่ในห้องยกมือถาม-ตอบ อาจารย์ตลอด ทำคะแนนดี แต่พอนอกห้อง กลับด่าอาจารย์ลงเฟซบุ๊กอย่างสนุกปาก

COO ก็ลอกว่า ทางบริษัทก็ไม่ได้ตัดสินใจยุติการฝึกงานน้อง เพราะเห็นว่างานดี ไม่มีอะไรเสียหาย แต่มารยาททางสังคม ถือว่า "สอบตก" ซึ่งอาจารย์บอกจะคุยกับนักศึกษาทั้งสองคนอีกครั้ง แต่ขออย่าแบล็กลิสต์สถาบัน ขอให้ช่วยรับนักศึกษาฝึกงานรุ่นต่อไปอีก

เจอกับตัวเอง เห็นเราเป็นอากาศธาตุ

ต่อมาหนุ่ยอ้างว่า ประสบเหตุการณ์กับตัวเอง เมื่อน้องทั้งคู่เดินผ่านขณะที่หนุ่ย นั่งกินข้าวอยู่กับภรรยา และพี่ในออฟฟิศอีก 2 คน แต่น้องมองเพ่ง และหลบตา ก่อนเงยขึ้นมาใหม่ ส่วนอีกคนไม่มองเลย ตนจึงกวักมือเรียกทั้งคู่ น้องคนหนึ่งหยุดทักทาย ส่วนอีกคนเดินแยกไปเลย "เห็นเราเป็นอากาศซะงั้น" จึงรีบเรียกให้มานี่ทั้งคู่ พร้อมกับบอกว่า ถ้าอยากทักก็ทักเลย ไม่ต้องลังเล แต่น้องกลับให้เหตุผลว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นตน เพราะมองไม่ชัด ทั้งๆ ที่ตนนั่งอยู่กับภรรยา และพี่ในออฟฟิศ ความใจฟูของพี่ฟีบทันที และบอกให้น้องไปเถอะ ไม่เป็นไร

ทั้งหมดนี่คือบทสนทนา 30 วินาที ที่ดูออกเลยว่า มันคือการเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันที่แย่มาก จะพูดว่าก็ "เด็กสมัยนี้" ตนก็สงสารการเหมารวมนี้ มันคงไม่ใช่ทั้งหมดแน่ ๆ แต่ที่น่ากลัวคือ คนแบบนี้กำลังมีเยอะขึ้น และตนคิดว่าเราควรช่วยแก้ไขพวกเขาก่อนออกสู่สังคมใหญ่

เมื่อรู้ดังนั้น จึงขอเบอร์เพื่อโทรหาอาจารย์ แต่ COO ทักว่าเรา ไม่น่าไปตัดอนาคต ปล่อยให้เขารู้เอง แต่หนุ่ยกลับมองว่า เราควรสอนก่อนสาย ดีกว่าให้เขาออกไปเฟอะฟะในสังคม ยอมเหนื่อยพูด เหนื่อยสอนตั้งแต่ตอนนี้ แต่เพราะช่วงนี้มีเหตุการณ์มากระทบหลายอย่าง ทำให้เข้าใจได้ว่า บางทีการสอนไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเขามองเจตนาเราไม่ออก





เกิดดราม่า #ฝึกงานแบไต๋ คนมองเหมือนเหรียญสองด้าน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เกิดเป็นดราม่าในโลกทวิตเตอร์ มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น พร้อมติดแฮชแท็ก #ฝึกงานแบไต๋ โดยฝั่งหนึ่งเห็นว่า การที่หนุ่ยนำเรื่องนี้มาโพสต์บนเฟซบุ๊ก แทนที่จะเรียกน้องฝึกงานทั้งสองคนมาคุย มาฟีดแบ็ก กันตัวต่อตัว เป็นเรื่องที่ไม่สมควร กลับเป็นการยิ่งผลักเด็กออกไป เพราะเป็นไปได้สูงว่า น้องฝึกงานทั้งคู่ อาจจะเห็นโพสต์นี้เมื่อไหร่ก็ได้

อีกทั้งยังมองว่า การที่เค้าทำงานให้องค์กรได้ดี ก็น่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลักที่องค์กรต้องการ ส่วนเรื่องบุคลิกภาพส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเงียบ ไม่ทักทาย หรือใดๆ ก็แล้วแต่ เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล 

ขณะที่อีกฝั่งมองว่า การทำงานในองค์กร คนที่มีบุคลิกแบบไหน ไม่สำคัญ แต่เพราะองค์กรจะเดินหน้าได้ ต้องมีทีมเวิร์กที่ดี และที่สำคัญ หากต้องออกไปพบปะ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับบริษัทคู่ค้า การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่หนุ่ยนำเรื่องของน้องมาโพสต์ เพราะหนุ่ยเอง ก็ยังรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการที่น้องนำเรื่องอาจารย์ไปโพสต์ 

หนุ่ยโพสต์ แม้ "คุณค่าที่ยึดถือ" คนละแบบ แต่การแสดงออกของผมผิด

หลังมีดราม่า โพสต์เกี่ยวกับนักศึกษาฝึกงานทั้งสองคนถูกลบออกไป ก่อนที่หนุ่ย จะโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า แม้ “คุณค่าที่ยึดถือ” เป็นคนละแบบ แต่การแสดงออกของผมก็ผิด

- ผิดที่เอาเรื่องนี้มาเล่า
- ผิดที่เอาน้องไปแขวน


แม้ไม่มีการระบุชื่อเสียงเรียงนาม แต่ผมก็ผิดอย่างมากที่ทำการสื่อสารเรื่องราวนี้อย่างไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง

ตลอดสองคืนนี้ ผมได้อ่านความคิดเห็นของผู้คนมากมาย ทั้ง Gen Y, Z และย้อนกลับมาที่ Gen X ช่วงวัยผมด้วย ผมยอมรับความจริง ยอมรับความต่าง แล้วตกผลึกความคิดกับการเปลี่ยนผ่าน

คนแต่ละเจนฯ โตมาในโลกที่มีโฉมหน้าต่างกัน เราจึงยอมรับในเนื้อหาและบริบทที่ต่างกันออกไป แล้วก็เป็นสิทธิที่ทุกคนจะคิดหรือปฏิบัติอย่างไรต่อกันก็ได้หากยังอยู่ภายใต้กฎหมาย

ในนามบริษัท เราได้ขอพบน้องทั้งคู่เมื่อวาน และกล่าวคำขอโทษตรงหน้ากับการกระทำนี้ของผม ผมเขียนบันทึกภายในส่งในไลน์กลุ่มองค์กรที่มีพนักงานทุกคนอยู่พร้อมเพื่อแสดงความขอโทษ และความผิดพลาดแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่ากับใครหรือกับบุคคลสถานะไหน

ส่วนตัวผม ผมได้รับการแขวนบนสังคมทวิตเตอร์ ซึ่งก็ดูเป็นโทษที่เหมาะสมกับความผิดของการกระทำนี้ ผมได้ของแถมที่ดี คือการรับรู้และเข้าใจในความคิดของคนรุ่นใหม่ เพื่อปรับตัวอยู่ต่อในสังคมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป

"เวลาที่มีมากกว่า" เป็นของพวกคุณคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

… ผมในฐานะเพื่อนร่วม Gen X ที่มีแรง จะทำหน้าที่เชียร์คนรุ่นใหม่ในแบบที่ผมชื่นชม เพื่อเป็นการเชื่อมโยงความเชื่อมั่นมาสู่คนรุ่นของผมด้วย.