เตือนเปิดฟิลเตอร์ผีหลอกให้เด็กกลัว ไม่ใช่เรื่องสนุก ชี้เป็นการปลูกฝังความกลัวโดยไร้เหตุผล สร้างความทรงจำเลวร้าย ส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็กไม่เชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ร้าย เกิดภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า

วันที่ 17 สิงหาคม 2565 มีรายงานว่า แฟนเพจ Mother and Child Channel ได้เปิดเผยเรื่องจากคุณแม่รายหนึ่ง โดยระบุว่า ช่วงนี้มีเทรนด์หนึ่งบนโซเชียล ซึ่งจะแกล้งให้เด็กอยู่ในห้อง แล้วเปิดแอปกล้อง โดยมีเอฟเฟกต์เป็นผีปิศาจน่ากลัวลอยไปมา ก่อนจะรีบวิ่งออกนอกห้อง ให้เด็กตกใจ ร้องไห้แง พยายามเปิดประตูหนี แต่อีกฝ่ายจะดึงรั้งประตูรั้งอีกด้านเอาไว้ แล้วหัวเราะคิกคัก ตลกขบขัน เอามาอวดกันบนโซเชียล เรียกยอดไลค์ ยอดแชร์

เช่นเดียวกับหนูน้อยคนนี้ แม่เด็กเล่าว่า มีญาติกับลูกๆ มาเที่ยวที่บ้าน ขณะที่เธอทำธุระอยู่ชั้นล่างก็ได้ยินเสียงลูกร้องไห้ดังมาจากห้องชั้นบน จึงรีบวิ่งขึ้นมาดู พบว่า ลูกญาติที่โตกว่ากำลังหัวเราะสนุกสนาน ดึงประตูด้านนอกเอาไว้ ก่อนจะยอมปล่อยลูกบิดให้ลูกเธอเปิดประตูวิ่งร้องไห้ออกมาในสภาพเนื้อตัวสั่น ใบหน้าหวาดกลัว ขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ ก่อนจะวิ่งหนีลงไปชั้นล่าง แน่นอนเธอโกรธมาก แต่ความที่เป็นลูกญาติจึงทำได้เพียงเก็บอารมณ์

หลังจากญาติกลับไป คืนนั้นลูกเธอมีอาการผวา หวาดระแวง กลัว ชี้ไปที่มุมต่างๆ ภายในห้อง นอนไม่หลับจนไข้ขึ้น คุณแม่บอกว่า การเล่นแบบนี้ไม่ตลกเลย ไม่ควรปลูกฝังความกลัวให้กับเด็ก และทิ้งท้ายว่า อยากเตือนให้ทุกครอบครัวระมัดระวังการแกล้งเด็กในลักษณะนี้

เช่นเดียวกับ แฟนเพจ Drama-addict ได้ระบุถึงเทรนด์ดังกล่าวว่า ฟิลเตอร์ผีหลอกที่นิยมกันใน TikTok ตัวนี้ในบ้านเราจะฮิตใช้ถ่ายคลิปกับเด็กเล็ก โดยให้เด็กดูหน้าจอ แล้วพอฟิลเตอร์ทำงาน ผู้ใหญ่จะวิ่งหนีออกจากห้อง ทิ้งเด็กไว้ในห้อง แล้วภาพก็จะมืดลง และมีผีตัวนี้โผล่ออกมา บางคลิปเด็กกลัวจนร้องไห้เลย

...

บ้านไหนทำงั้นกับเด็กๆ ขอให้ระวัง "การปลูกฝังความกลัวโดยไร้เหตุผล" ซึ่งแลกมาด้วยพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กที่ถดถอย
อย่าเห็นแก่การทำคอนเทนท์ลงโซเชียล โดยเอาเด็กมาเสี่ยง สิ่งหนึ่งที่ฝังลงไปในความรู้สึกของลูก คือ "ความรู้สึกกลัวอย่างไร้เหตุผล"

ในขณะที่ เหตุผล คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องปลูกฝังลูกตั้งแต่วัยนี้ด้วยเช่นกันเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลและมีสมดุลทางอารมณ์ ดังที่ ศ. เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา ได้เคยบอกไว้ว่า

"ในบรรดาความรู้สึกต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อความเข้มแข็งของเด็กคือความกลัว (FEAR) ซึ่งก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในจิตใจ ว้าวุ่น หวาดกลัว ไม่มั่นใจในตัวเอง และพาลเป็นผลเสียต่อสุขภาพ จึงต้องพยายามเลี้ยงลูกอย่าให้เป็นคนขลาด กลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผล"

ดังนั้นการหลอกให้ลูกกลัวอย่างไร้เหตุผล หรือกลัวในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกลัว จึงเป็นเสมือนการตอกย้ำให้พัฒนาการทางด้านอารมณ์จิตใจของลูกย่ำอยู่กับที่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ผลจากการถูกหลอกให้กลัว...อย่างไร้เหตุผล

แน่นอนว่า ความกลัวอย่างไร้เหตุผล ส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจของลูกโดยตรง โดยเฉพาะลูกวัยที่จินตนาการกำลังเบ่งบาน ทำให้เมื่อไรที่เขารู้สึกกลัว ความกลัวนั้นจะฝังแน่นในความรู้สึกมากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า และด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ ทำให้การใช้เหตุผลของลูกยังไม่ดีพอ โอกาสที่ดีกรีความกลัวจะพลุ่งพล่านจึงมีมากขึ้น

หากเราหลอกให้ลูกกลัวอย่างไร้เหตุผล ความกลัวนี้จะติดไปจนกระทั่งเขาโต และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่กลัวในสิ่งที่ไม่น่าจะกลัว เช่นเดียวกับที่ศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "เป็นการสร้างนิสัยให้เด็กขาดการใช้ความคิดไตร่ตรอง ใคร่ครวญหาความจริงด้วยเหตุผล ทำให้เสียบุคลิกภาพ ยิ่งไปกว่านั้น หากลูกมีความกลัวอย่างรุนแรง เมื่อต้องอยู่ในภาวะเช่นนั้นนานๆ อาจทำให้เกิดอาการทางประสาทได้ เช่น เด็กที่กลัวความมืด หากให้อยู่ในห้องมืดคนเดียว จะเกิดความเครียด นอนไม่หลับในเวลากลางคืน หัวใจจะเต้นเร็ว ในสมองจะจินตนาการไปต่างๆ นานา และสามารถหวีดร้องได้เมื่อใบไม้ใบหนึ่งปลิวมาปะทะหน้าต่าง ทั้งๆ ที่ในความมืดนั้นไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

ดังนั้น การช่วยให้เด็กเลิกกลัวอย่างไม่มีเหตุผลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะช่วยพัฒนาการใช้เหตุผลของเด็ก ให้รู้จักคิดใคร่ครวญ พิสูจน์ความจริงก่อนตอบสนอง เมื่อเติบโตขึ้นก็จะเป็นคนที่มีเหตุผล ไม่กลัวสิ่งใดง่ายๆ ทั้งเป็นการช่วยทำให้เด็กไม่หลงเชื่อสิ่งใดอย่างง่ายๆ เพียงเพราะรู้สึกกลัวอย่างไม่มีเหตุผล"

เช่นเดียวกับ แฟนเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา ได้โพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า แม้ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็กมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะเข้าใจเด็ก โดยเฉพาะเมื่อความกลัวของเด็กกลายเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ใช้แกล้งหยอกเย้าเด็กด้วยความสนุกสนาน ความกลัวมีความหมายเสมอ ไม่มีใครชอบความรู้สึกกลัวหรอก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

ยิ่งเมื่อความกลัวเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ ที่การพัฒนาทางความคิดยังไม่ดีเหมือนเด็กโต การแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้ยังไม่ถูกต้องตามความจริง ความกลัวก็ยิ่งบั่นทอนความรู้สึก และส่งผลกระทบในระยะสั้นและระยะยาวหากความกลัวนั้นรุนแรงและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ตามทฤษฎีของ Piaget พูดถึงเด็กในวัย 2-7 ปีว่าเป็นช่วง Preoperational stage ซึ่งเด็กจะมีลักษณะความคิดที่มีจินตนาการ (fantasy) มาก ความมีจินตนาการของเด็ก เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ แต่บางครั้งการที่ยังแยกแยะเรื่องจริงกับจินตนาการไม่ได้ เด็กเล็กๆ จึงมักมีความกลัวบางอย่างที่ผู้ใหญ่รู้สึกว่าไม่มีเหตุผล

ความกลัวของเด็กนั้น แม้จะดูไร้สาระในสายตาของผู้ใหญ่แต่มันก็มีความหมายและควรให้ความสำคัญ เด็กบางคนกลัวว่าเวลานั่งโถส้วมจะถูกดูดลงไปในโถ

เด็กบางคนคิดว่าใบกล้วยนอกหน้าต่างตอนกลางคืนเป็นมังกรยักษ์ในนิทาน เวลาที่ผู้ใหญ่หลอกอะไรเด็ก ขู่ให้กลัว เด็กก็มักจะปักใจเชื่อจริงๆ เช่น มีแม่คนหนึ่งขู่เด็กว่าถ้าเป็นเด็กดื้อเดี๋ยวแม่จะหนีออกจากบ้าน ตั้งแต่นั้น เด็กก็ไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะกลัวว่าแม่จะหนีจากเขาไป

ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือสวัสดิภาพของตัวเองกับคนที่เขารัก เช่น พ่อแม่ เด็กจะกลัวมากขึ้นเป็นหลายเท่า บางครั้งความกลัวก็ทำให้เด็กๆ ฝันร้าย นอนไม่หลับ แม้จะไม่มีเหตุผลนัก แต่ความกลัวของเด็กก็มีอยู่จริง และมันอาจจะส่งผลกระทบกับเด็กบางคนจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ เช่น ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เป็นโรคกลัวที่แคบ เมื่อย้อนประวัติไปในวัยเด็กก็พบว่า ตอนเล็กๆ ถูกพ่อแม่ขังไว้ในห้องเก็บของมืดๆ แคบๆ อยู่หลายชั่วโมง

ผู้ใหญ่บางคนคิดว่าการแกล้งเด็กเป็นเรื่องสนุกขำขัน แล้วก็ให้เหตุผลแบบตื้นเขินว่า "ก็เขายังเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก" ผู้ใหญ่หลายคนรักและเอ็นดูเด็ก แต่ผู้ใหญ่น้อยคนที่มีความละเอียดอ่อนกับความคิดความรู้สึกของเด็ก

บางคนอาจจะบอกว่า ตอนที่เป็นเด็กไม่เห็นคิดอะไรมากมายอย่างที่หมอพูดเลย ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเด็กแต่ละคนต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าตอนคุณยังเป็นเด็ก ไม่กลัวอะไรแบบนี้ เด็กคนอื่นก็ต้องไม่กลัวเหมือนคุณ ความกลัวถ้าเกิดขึ้นรุนแรงและบ่อยครั้งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางใจ มีผลกระทบกับความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในตัวเอง การมองโลกในแง่ร้าย ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า ซึ่งหมอเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเด็กคนไหนตั้งใจอยากให้เด็กเป็นแบบนั้น

หยุดแกล้งให้เด็กกลัว จนทำให้กลายเป็นความทรงจำที่ฝังใจเลย โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่เด็กรักและเชื่อใจ.