- การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลทางวิทยาศาสตร์มีด้วยกัย 3 วิธี คือ การพิสูจน์ลายนิ้วมือ, การตรวจ DNA และการพิสูจน์ด้วยวิธีนิติทันตวิทยา
- วิธีการพิสูจน์ด้วย "นิติทันตวิทยา" คือ การตรวจฟันผู้เสียชีวิต ให้ผลแม่นยำ และคลาดเคลื่อนน้อย
- ในประเทศไทย มีผู้เชี่ยวชาญด้าน "นิติทันตวิทยา" เพียง 24 คนเท่านั้น
หนึ่งในวิธีพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลที่แม่นยำ จนสามารถช่วยคลี่คลายคดีในการสืบค้นบุคคลผู้เสียชีวิต เหตุภัยพิบัติมาแล้ว คือวิธี "นิติทันตวิทยา" ซึ่งล่าสุด วิธีนี้ถูกนำมาใช้ในการตรวจสภาพฟันของอดีตดาราสาว แตงโม นิดา หรือ ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ เพื่อไขข้อข้องใจในคดีและคลี่คลายหลายคำถามของสังคม เกี่ยวกับการเสียชีวิต
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิง ดร.พิสชา พิทยพัฒน์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติทันตวิทยา ผู้ร่วมตรวจสภาพฟันของอดีตดาราสาวแตงโม นิดา เพื่อไขข้อข้องใจในคดี ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ทันตแพทย์เอง ก็มีส่วนสำคัญในงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ได้เช่นกัน
...
นิติทันตวิทยา คืออะไร
สำหรับ "นิติทันตวิทยา" เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศไทยราว 20 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสาขานิติทันตวิทยาถือเป็นหนึ่งในสาขาเฉพาะทางของราชวิทยาลัยทันตแพทย์แห่งประเทศไทย แต่ยังไม่มีหลักสูตรฝึกอบรมเต็มรูปแบบ ทันตแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านนี้หลายท่านจึงเป็นผู้ที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ยังมีจำกัด ไม่เพียงพอกับจำนวนคดีความและเหตุการณ์ที่ต้องการการระบุตัวตนบุคคล
ผศ.ทญ.ดร.พิสชา เล่าว่า จุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจในงานนิติทันตวิทยา เริ่มจากช่วงปลายปี 2547 เกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิ ซึ่งในขณะนั้น เป็นอาจารย์ที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ได้ลงไปยังพื้นที่ประสบภัยเพื่อช่วยตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ซึ่งหลายรายแทบไม่เหลือร่องรอยที่จะพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ นอกจาก "ฟัน" โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มีเพียง 2 คนเท่านั้น ทำให้พบปัญหาขาดแคลนบุคลากร
รวมทั้งระบบการเก็บข้อมูลทันตกรรมของประเทศ คนไทยที่เสียชีวิตในช่วงนั้นส่วนมากเป็นชาวประมงและคนที่ทำงานหรืออาศัยอยู่ริมทะเล จึงไม่ทราบว่าจะไปค้นข้อมูลด้านทันตกรรมก่อนเสียชีวิตของพวกเขาจากไหน คนไทยจึงได้รับการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วยฟันค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับชาวต่างชาติที่มีประวัติฟันครบถ้วน ติดต่อไปก็ได้รับการส่งกลับมาเป็นแฟ้ม ทั้งภาพถ่ายในปาก ภาพถ่ายเอกซเรย์ ทำให้พิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลได้ง่าย
ขณะที่เหตุการณ์ครั้งนั้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เดินทางไปศึกษาต่อด้านนิติทันตวิทยาที่ประเทศเบลเยียม นิติทันตวิทยา หนึ่งในศาสตร์สืบอัตลักษณ์บุคคล สำหรับการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลนั้น ตามหลักตำรวจสากล นอกจากจะดูได้จากรอยสัก หรือวัตถุพยานต่างๆ เช่น กระเป๋าสตางค์ หรือบัตรประชาชน เป็นต้นแล้ว วิธีการทางวิทยาศาสตร์หลักๆ ที่ใช้มี 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การพิสูจน์ลายนิ้วมือ, การตรวจ DNA และการพิสูจน์ด้วยวิธีนิติทันตวิทยา ซึ่งทั้ง 3 วิธีอาศัยข้อมูลก่อนการเสียชีวิตเพื่อนำมาเปรียบเทียบ
แต่การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้วย DNA ต้องเก็บตัวอย่าง DNA ของผู้ที่เสียชีวิตไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ เช่น เก็บ DNA จากอุปกรณ์เครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของผู้เสียชีวิตซึ่งมีส่วนของ DNA เหลืออยู่ หรือเปรียบเทียบกับ DNA ของพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรง การตรวจด้วยลายนิ้วมือ เมื่อเก็บลายนิ้วมือจากผู้เสียชีวิตแล้วจะนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลลายนิ้วมือในฐานข้อมูล หรือไปเก็บลายนิ้วมือจากบ้านพักอาศัยของผู้เสียชีวิต
ส่วนการพิสูจน์ด้วยวิธีนิติทันตวิทยา คือการตรวจฟันผู้เสียชีวิต ซึ่งต้องหาข้อมูลการรักษาทางทันตกรรมก่อนเสียชีวิต ประวัติการทำฟันที่โรงพยาบาลหรือคลินิก เพื่อมาเปรียบเทียบกับสภาพฟันตอนที่เสียชีวิตแล้วว่าตรงกันหรือไม่ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของผู้เสียชีวิต จะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับสภาพศพในตอนนั้น ถ้าสภาพศพเน่ามากเหลือเฉพาะโครงกระดูก ก็อาจจะเก็บลายนิ้วมือไม่ได้ แต่พอจะใช้วิธีการเก็บ DNA หรือตรวจฟันได้ กลายเป็นหลักฐานอัตลักษณ์บุคคลที่ทนทานที่สุด
เมื่อฟันเป็นอวัยวะที่มีความพิเศษเฉพาะบุคคล และเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลจากฟันจึงมีความแม่นยำ และคลาดเคลื่อนน้อย ส่วนประกอบของฟันมีแร่ธาตุมากกว่า 90% ซึ่งมากกว่ากระดูกทั่วไป เพราะฉะนั้นจะทนความร้อน และทนแรงกระแทกได้ดีมาก
วิธีการตรวจฟันผู้เสียชีวิต
สำหรับวิธีการตรวจฟันผู้เสียชีวิตว่าคล้ายกับการตรวจฟันคนไข้ที่ยังมีชีวิตทั่วไป ในเบื้องต้นต้องเช็กดูว่าฟันครบหรือไม่ มีการอุดฟัน หรือฟันมีลักษณะพิเศษอะไร ซึ่งต้องตรวจอย่างละเอียดทุกซี่ โดยเฉพาะในปัจจุบันมีการใช้วัสดุอุดฟันที่สีเหมือนฟันมาก จึงต้องใช้ไฟส่องสว่างเพื่อให้เห็นชัด ส่วนศพที่เสียชีวิตในน้ำ ก็จะต้องทำความสะอาดเศษดินทรายต่างๆ ออกก่อนที่จะตรวจ
หลังจากตรวจเช็กฟันจากภายนอกแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นการเอกซเรย์ฟันทั้งปาก โดยใช้ฟิล์มเล็กๆ กับฟันทุกซี่ แล้วนำข้อมูลที่ดูด้วยตากับข้อมูลเอกซเรย์มาพิจารณาร่วมกัน ซึ่งการเอกซเรย์จะเห็นข้อมูลมากกว่า เช่น การอุดฟันที่ด้านข้าง การรักษารากฟัน หรือฟันคุด
การตรวจพิสูจน์จากฟันมีความน่าเชื่อถือเทียบเท่ากับการตรวจ DNA แต่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า จึงนิยมมากในต่างประเทศ เนื่องจากต่างประเทศมีการเก็บข้อมูลฟันก่อนเสียชีวิตอย่างชัดเจน สามารถสืบค้นได้ง่าย ส่วนการเก็บตัวอย่าง DNA มีขั้นตอนการเก็บยากกว่า ต้องเก็บในอุณหภูมิต่ำและต้องระวังการปนเปื้อน ซึ่งการเชื่อมระบบเก็บข้อมูลทันตกรรม สิ่งสำคัญสำหรับการพิสูจน์อัตลักษณ์ของบุคคลด้วยนิติทันตวิทยา คือประวัติการรักษาฟันก่อนการเสียชีวิต
ยกตัวอย่าง ระบบเชื่อมโยงข้อมูลประวัติทันตกรรมของประเทศเบลเยียม จากเหตุการณ์ระเบิดที่สนามบินบรัสเซลส์ (ปี 2559) มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทางเบลเยียมมีระบบฐานข้อมูลสุขภาพที่ดี เมื่อประชาชนไปรักษาที่ไหนจะมีการเสียบบัตรแล้วข้อมูลจะเชื่อมโยงได้ทั้งหมด มีเป็นไทม์ไลน์การรักษาอย่างละเอียด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสืบค้นข้อมูลการรักษาทางทันตกรรม
แต่ในประเทศไทย การเก็บข้อมูลประวัติการรักษาฟันยังไม่เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากมีคลินิกเอกชนจำนวนมาก และแต่ละที่ก็มีการเก็บข้อมูลด้วยระบบที่แตกต่างกัน แม้ทันตแพทยสภาจะเริ่มส่งเสริมมาตรฐานทางสาธารณสุขร่วมกับการวางนโยบายการเก็บข้อมูลทางทันตกรรมของคนไข้ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายบังคับให้เก็บข้อมูลการทำฟันอย่างชัดเจน หวังว่าในอนาคตเมื่อการเชื่อมต่อข้อมูลทางสุขภาพทางสาธารณสุข (Health Link) ดำเนินการแล้วเสร็จ ก็จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลด้านสาธารณสุขสะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญคือมีการเชื่อมโยงข้อมูลการรักษาจากทุกที่ทั่วประเทศ รวมถึงเรื่องทันตกรรมด้วย เตรียมผลักดันหลักสูตร เพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านนิติทันตวิทยา
ผู้เชี่ยวชาญด้าน "นิติทันตวิทยา" มีเพียง 24 คน
แม้ปัจจุบัน จำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านนิติทันตวิทยาจะเพิ่มขึ้นจาก 2 เป็น 24 คน แต่ก็ยังนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนทันตแพทย์ทั่วประเทศจำนวนกว่า 20,000 คน และจำนวนประชากรกว่า 60 ล้านคนในประเทศไทย ถ้าเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติร้ายแรงขึ้นอีก ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงมีการผลักดันจัดตั้งหลักสูตรนิติทันตวิทยาที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งปลายปี 2565 นี้ จะมีอาจารย์จบการศึกษาด้านนิติมานุษยวิทยาจากสกอตแลนด์ กลับมาเป็นอาจารย์ประจำคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการจัดตั้งหลักสูตรต่อไป
สำหรับการผลักดันหลักสูตรให้เกิดขึ้น ต้องดูช่องทางที่เหมาะสมและต้องมีเคสให้นิสิตได้ตรวจตลอดระยะเวลาในหลักสูตร ซึ่งอาจจะต้องร่วมมือกับโรงพยาบาลใหญ่ที่มีแผนกนิติเวชศาสตร์ โดยทำ MOU ร่วมกัน เพื่อให้นิสิตสามารถเข้าไปฝึกเรียนตามโรงพยาบาลต่างๆ ได้ ซึ่งนิสิตทันตแพทย์ที่สนใจด้านนิติทันตวิทยา ในอนาคตคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อาจจะเปิดหลักสูตรอบรมระยะสั้นสำหรับสาขานี้ ซึ่งอาจจะทำได้เร็วกว่าการเปิดหลักสูตรใหม่
แม้ว่าประเทศไทย จะยังไม่มีการเรียนการสอนเฉพาะทางสำหรับสาขานี้ แต่เราควรวางรากฐานให้นิสิตทันตแพทย์ทุกๆ สาขาวิชา เห็นความสำคัญของการเก็บข้อมูลคนไข้ การบันทึกการรักษาคนไข้ต้องเก็บอย่างละเอียดและเป็นระบบ เพื่อที่จะนำไปใช้ในอนาคต นิติทันตวิทยาในประเทศไทย อาจจะยังเป็นวิชาชีพที่ไม่สร้างรายได้ให้ทันตแพทย์เหมือนกับสาขาทันตกรรมอื่นๆ แต่การทำงานด้านนี้ก็สร้างคุณค่ามากมาย คุณค่าที่ได้มอบความจริงให้ผู้เสียชีวิตและสังคม รวมทั้งลดความกังวลใจ และข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้.
ผู้เขียน : กนก โฆษกสุขภาพ
กราฟิก : Sathit chuephanngam