เพราะเป็น 1 ใน “รัฐมนตรีคมนาคมในดวงใจ” ของผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงคมนาคมทุกคน เมื่อ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนล่าสุด อดีต รมว.คมนาคม (2555-2557) สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โทร.มาชวนทีมนักข่าวกระทรวงยุคนั้นร่วมรับประทานอาหาร การพบปะระหว่าง กลุ่มคนคุ้นเคยจึงเกิดขึ้น
วันนี้บทบาทของอดีต รมต.ชัชชาติเปลี่ยนไป ชัยชนะจากการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ได้คะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.38 ล้านเสียง ทำให้เกิดกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ไปไหนมีคนมารอคิว ถ่ายรูปแถวยาวเหยียด หรือเวลาไลฟ์สดภารกิจต่างๆก็มีผู้ติดตาม หน้าจอเป็นจำนวนมาก ยอดชมทะลักหลักหมื่นในเวลาไม่กี่นาที
แม้ภารกิจจะรัดตัว ค่ำคืนหนึ่งในช่วงเวลาที่ยุ่งเหยิง ผู้ว่าฯ ชัชชาติก็ได้ปลีกตัวจากตารางเวลาแน่นเอี๊ยด มาตามนัดและร่วม รับประทานอาหารกับเหล่านักข่าวที่เคยทำงานร่วมกันอีกครั้ง
เมนูที่ผู้ว่าฯขวัญใจชาว กทม. เลือกสั่งคือกะเพราเนื้อสับราดข้าวไข่ดาว 2 ฟอง กินไปพูดคุยกันไป แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งมีและไม่มีสาระ วงสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อนั้น สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น จริงใจที่จะเข้ามาทำงาน การแลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมอง ทัศนคติ บางเรื่องราวยากที่จะรู้ หากไม่เล่า ฟังแล้วยิ้มตาม ส่วนบางเรื่องฟังแล้วสร้างพลังฮึกเหิม
“ผู้ว่าฯกทม.ที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” เล่าให้ฟังว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ ลงพื้นที่ รับฟังปัญหา ทุกเขตทุกจุด ทุกพื้นที่ พบว่ากรุงเทพมหานคร มีปัญหาสังคม เศรษฐกิจ รุนแรง สิ่งที่เห็นและสัมผัส เป็นแรงขับที่จะต้องทำในสิ่งที่ทุกคนคาดหวังให้สำเร็จ โดยจะเปลี่ยนความคาดหวังของคนมาเป็นความร่วมมือกัน และทำให้สำเร็จให้ได้
ส่วนเรื่องที่หลายคนกังวลว่า มาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ไม่สังกัดพรรคการเมืองมาในนามอิสระ แต่อิสระจริงไหม...จะไม่มีฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซง กดดันการทำงานได้จริงหรือ ผู้ว่าฯ ชัชชาติตอบชัดเจนเสียงดังว่า “จริง” ครั้งนี้มีอิสระที่จะทำงาน คิด ตัดสินใจ เลือกทีมที่จะเข้ามาช่วยได้เต็มที่ ขอให้คน กทม. เชื่อว่า “ผมจะไม่เอาเกียรติและสิ่งที่ประชาชนฝากความหวัง มาทิ้งไว้ตรงนี้แน่”
...
ถามต่อว่า การรับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. สิ่งที่กังวลที่สุด คืออะไร...คุณชัชชาติตอบแบบแทบไม่ต้องคิดว่า ปัญหา “คอร์รัปชัน” เพราะหยั่งรากลึกและมีมานาน เบื้องต้นจะเชิญ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT เข้ามา หารือและเข้ามาช่วยดู ในฐานะบุคคลที่ 3 หรือ Third Party ส่วนเรื่องอื่นๆไม่กังวล “ถือเป็นความโชคดีที่มี 214 นโยบาย ซึ่งทำให้เดินหน้าทำงานได้ทันที”
อีกเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาครั้งนี้ คือการรับมือกับความฮอต!!! ของตัวเอง เพราะกระแสปัง ดัง แรง กรี๊ด สนั่นระดับซุปเปอร์สตาร์ยังอาย ไปไหนมาไหนมีแต่คนห้อมล้อม ปรี่เข้ามาทัก พูดคุย ขอถ่ายรูป
คุณชัชชาติบอกว่า ไม่คาดคิดมาก่อน บางทีเคยใช้เวลาถ่ายรูปนานถึง 3-4 ชั่วโมงก็มี แต่จะทำให้ดีที่สุดเวลาไปตามสถานที่ต่างๆที่มีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูป หากมีทีมงานไปด้วย จะไม่ค่อยกดดัน ก็ให้ทีมงานไปตัดแถวตัดคิวให้ โดยต้องชี้แจงว่า มีงานต่อ ไม่ทันแล้ว ซึ่งทุกคนเข้าใจ แต่ที่ยากสุดคือเวลาไปคนเดียว ล่าสุดไปทานข้าวที่สยามพารากอน ระหว่างรอรถไปแอบอยู่หลังเสา แต่ก็มีคนเห็นจนได้ ขอถ่ายรูปต่อคิวจำนวนมาก จนต้องบอกให้เด็กวัยรุ่นแถวนั้นช่วยตัดแถวให้ แต่ไม่สำเร็จโชคดีที่น้องคนกวาดถนนมาขอถ่ายรูปด้วย เลยขอให้เขาช่วยจัดการ เขาเลยกางไม้กวาดตัดคิวให้ทันที
กลับมาที่เรื่องลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้ว่าฯ กทม.ที่ชื่อ “แสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือแสนดี” พอถามถึงลูกคุณพ่อชัชชาติเล่าด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความสุข “หลังจากที่ได้รับตำแหน่ง แสนดีตื่นเต้นกว่าพ่ออีก โทร.มาทุกวัน ลุ้นทุกวัน อยากกลับจาก อเมริกามาช่วยงาน ใจเขาอยู่ตรงนี้แล้ว แต่ไม่ให้มาหรอก เดี๋ยววุ่นวาย ตอนนี้มีนักข่าวไปสัมภาษณ์แสนดีเต็มไปหมด เขาชอบเขียน ชอบอ่าน และที่สำคัญแสนดีเป็นคนคิดท่าเลขแปด ที่เอา กำปั้นสองมือมาต่อกันให้ผมด้วย ส่วนคุณแม่ผม พอรู้ว่าจะได้เป็นผู้ว่าฯ ก็กรี๊ดสลบ แม่ปลื้มใจมาก บอกให้ทำงานดีๆ ให้เต็มที่ เหมือนกับที่ตั้งใจไว้”
น่าเสียดายที่บทสนทนาที่เต็มไปด้วยอรรถรสในคืนนั้น ถูกขัดจังหวะด้วยฟ้าฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำผู้ว่าฯ กทม.ถึงกับนั่งไม่ติด โทร.สั่งงานไม่หยุด ให้เช็กพื้นที่ฝนตก เช็กสถานการณ์ที่สำนักระบายน้ำ
เมื่อฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและตกหนักขึ้น พวกเราก็รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปล่อยให้ท่านไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะพ่อเมืองของคนกรุง ก่อนผู้ว่าฯจะรีบดิ่งไปที่ “ศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วม สำนักการระบายน้ำ เขตดินแดง กรุงเทพฯ” ทันที...
สุรางค์ อยู่แย้ม