- พี่สาวแชร์ประสบการณ์ นอนเฝ้าน้องชาย 7 ขวบ ติดเชื้อ "โควิด-19" ในโรงพยาบาลนาน 6 วัน
- เด็ก 7 ขวบติดโควิด อาการเพียบ ไข้สูงถึง 39.6 องศาฯ ทานข้าวไม่ได้ อาเจียน
- แม้หายจากโควิด เด็กน้อยยังต้องเฝ้าระวังอาการ "ภาวะมิสซี" ตลอดระยะเวลา 3 เดือน
แม้ว่า "กรมควบคุมโรค" จะรายงานว่า สถานการณ์โรค "โควิด-19" ในประเทศไทยขณะนี้มีแนวโน้มลดลง ทุกอย่างสามารถควบคุมได้ดี ไม่มีการระบาดใหญ่ แต่ประชาชนยังคงระวังตัวกันอย่างมาก โดยเฉพาะใน "เด็กเล็ก" เนื่องจากมีหมอและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ออกมาเตือนเกี่ยวกับอาการ "ลองโควิด" ที่จะเกิดขึ้นได้หลังติดเชื้อ รวมทั้งมีหลายคนได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับสายพันธุ์ "โอมิครอน" ที่แม้จะอาการไม่รุนแรง แต่กลับมีคำเตือนเกี่ยวกับอาการลองโควิดที่เกิดจากสายพันธุ์โอมิครอน อาจรุนแรงกว่าคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา
คุณวัน อายุ 27 ปี พี่สาวของ น้องพอร์ช เด็กชายวัย 7 ขวบ ได้แชร์ประสบการณ์การนอนเฝ้าน้องชายติดโควิดที่โรงพยาบาล แม้รู้ว่าเสี่ยงจะติดเชื้อไปอีกคน แต่เป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้
โดยเริ่มเล่าว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. น้องชายได้เดินทางจากต่างจังหวัด มาอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ในช่วงปิดเทอม โดยตั้งใจว่าจะพาไปเที่ยวหลายๆ ที่ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่ได้เดินทางมาอยู่กับญาตินาน 2 ปี ซึ่งก่อนเดินทาง น้องชายได้รับการฉีดวัคซีน "ไฟเซอร์" เข็มที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา
...
แต่แพลนการเที่ยวต้องทลายลง เมื่อญาติที่เพิ่งได้เจอกันโทรมาแจ้งว่า ติดเชื้อโควิด ซึ่งทุกคนในบ้านจำนวน 8 คนได้ตรวจ ATK แล้วพบว่าขึ้น 1 ขีด แต่มีเพียงคนเดียวที่ขึ้น 2 ขีด คือ น้องพอร์ช ซึ่งตรวจ ATK แบบน้ำลาย ซึ่งตอนแรกครอบครัวไม่มั่นใจว่าน้องจะติดเชื้อจริงๆ เพราะทุกคนในบ้านตรวจแล้วไม่พบเชื้อ ทั้งที่กินข้าวร่วมกัน นอนด้วยกันตลอด ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ และลองตรวจใหม่อีกครั้งด้วย ATK แบบแยงจมูก ผลออกมาขึ้นเพียงขีดเดียว
กระทั่งวันถัดมา น้องพอร์ช ตื่นเช้ามาด้วยอาการปกติ ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็บ่นง่วงและขอนอนต่อ ก่อนที่จะพบว่าน้องมีไข้ วัดได้ 37.5 จึงให้ทานข้าวเพื่อจะได้กินยาลดไข้ แต่ทานได้ไม่กี่คำก็อาเจียน ง่วง ซึม ทั้งที่ปกติเป็นซุกซน จนช่วงเย็นอาการไม่ดีขึ้นจึงพาไปโรงพยาบาล โดยผลตรวจออกมายืนยันว่า "ติดเชื้อโควิด-19"
ปัญหาต่อมาคือ เด็กเล็กจะต้องมีผู้ใหญ่อยู่กับน้อง 1 ท่าน ในช่วงรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ทุกคนที่ใกล้ชิดไม่มีใครติดเชื้อโควิด ตัวเองจึงอาสาดูแลน้องให้ เนื่องจากเป็นช่วง Work from Home สามารถทำงานที่โรงพยาบาลได้ โดยทางพยาบาลได้เข้ามาตรวจโควิดตนก่อน เพราะถ้าหากติดเชื้อจำเป็นต้องได้รับยาด้วยเช่นกัน ระหว่างนั้นได้สอบถามพยาบาลว่า "เคยมีผู้ปกครองที่ไม่ติดเชื้อ ต้องมาดูแลลูกหลาน แล้วรอดไม่ติดโควิดไหม" พยาบาลตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า "ไม่เคยมีค่ะ" ก่อนเดินจากไป
คืนแรกค่อนข้างที่จะวุ่นวาย เนื่องจากต้องทำหลายอย่าง ทั้งเรียนรู้สิ่งที่ต้องทำทุกวันจากคุณพยาบาล ฟังระเบียบข้อปฏิบัติ ลิสต์รายชื่อสิ่งของที่จะให้ทางบ้านนำมาให้ เพราะเราไม่ได้จะเตรียมตัวมาอยู่แต่แรก ทำให้ทุกอย่างเสร็จเกือบ 02.00 น. แต่สิ่งยากกว่าคือ ต้องตื่นมาวัดไข้, วัดออกซิเจน และวัดการหายใจให้น้องชายทุกวัน วันละ 6 รอบ โดยรอบแรกเริ่มตั้งแต่ 06.00 น. รอบสุดท้ายคือ 01.30 น. ซึ่งทำหน้าที่เป็นพยาบาลประจำตัวที่ต้องดูแลใกล้ชิดตลอดเวลาในห้องสี่เหลี่ยมนี้ และมีเตียงนอนเพียงเตียงเดียว ทำให้ต้องนอนอยู่ด้วยกัน
สำหรับความกังวลเรื่องติดเชื้อโควิดนั้น นาทีที่ตัดสินใจจะเฝ้าน้อง ทำใจไปแล้วว่ายังไงก็คงไม่รอด แต่ดีกว่าให้น้องชายเป็นหนัก เพราะอาการช่วงที่มาโรงพยาบาลน้องซึมมาก นอนอย่างเดียว ตนจึงทำให้ได้แค่ป้องกันตัวเองด้วยการ ฉีดแอลกอฮอล์ตลอดเวลา ใส่หน้ากากป้องกัน 2 ชั้น โดยวันแรกที่อยู่โรงพยาบาลแทบไม่กินอะไรเลย กินน้ำเปล่าไป 1 ขวด เพราะต้องเซฟความปลอดภัยให้ได้มากที่สุด
ส่วนอาการของน้องชาย ช่วงแรก 2-3 วัน ยังคงมีอาการอ่อนเพลีย ไข้สูงถึง 39.6 องศาฯ ทานอาหารไม่ได้ คุณหมอจึงให้ทานยาฟาวิพิราเวียร์ติดต่อกัน 5 วัน แล้วให้ยาตามอาการ โชคดีที่ไม่พบปอดอักเสบ ต่อมาวันที่ 5 อาการเริ่มดีขึ้น ทานข้าวได้ ไม่อาเจียน คุณหมอจึงอนุญาตให้กลับไปกักตัวต่อที่บ้าน แต่ยังต้องเฝ้าระวังอาการ "ภาวะมิสซี" ตลอดระยะเวลา 3 เดือน
สิ่งสำคัญที่คนในครอบครัวคอยลุ้นกัน คือผลตรวจโควิดของตน ถ้าติดก็รักษา ถ้าไม่ติดจะถือเป็นโชคดีมากๆ ต้องบอกก่อนว่าตนฉีดวัคซีนมาแล้ว 4 เข็มแล้ว คือ ซิโนแวค, ซิโนแวค, แอสตราเซเนกา และไฟเซอร์ จริงๆ ตนตรวจโควิดด้วย ATK ทุกวัน แม้จะไม่มีอาการ และวันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ทางโรงพยาบาลได้ตรวจหาเชื้อให้ ซึ่งผลออกมาเป็น Negative ไม่พบเชื้อ นับว่าโชคดีมากๆ ที่นอนอยู่ด้วยกันมา 5 คืน แต่ไม่ติดเชื้อ
สุดท้ายเชื่อว่า ช่วงที่อยู่โรงพยาบาลเพื่อดูแลน้องชายนั้น สิ่งสำคัญคือมั่นใจว่าป้องกันตัวเองดี ไม่เคยขี้เกียจที่จะฉีดแอลกอฮอล์ หรือไม่ลืมล้างมือเลยสักครั้ง เพราะเชื่อว่าถ้าเราประมาทนิดเดียวอาจจะพลาดติดเชื้อได้ และยอมใส่หน้ากาก 2 ชั้นนอน แม้ว่าจะอึดอัดแค่ไหนก็ตาม ต้องขอบคุณทุกคนในครอบครัวที่คอยให้ความช่วยเหลือ ส่งอุปกรณ์ป้องกัน และของกินมาให้ตลอด.
ผู้เขียน : กนก โฆษกสุขภาพ
กราฟิก : CHONTICHA PINIJROB