"มิก รชยา" รองมิสทิฟฟานี โพสต์เศร้า ตั้งใจไปโชว์มวยไทยที่ดูไบ แต่ถูกส่งกลับ เพราะเพศสภาพไม่ตรงพาสปอร์ต โทษกฎหมายไทย ทำเข้าประเทศไม่ได้ ด้านชาวเน็ตเสียงแตก
เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 65 กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันในโลกโซเชียลเมื่อ มิก รชยา นพการุณ รองชนะเลิศอันดับ 1 มิสทิฟฟานี่ ยูนิเวิร์ส ปี 2014 ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Rachaya Noppakaroon" เล่าประสบการณ์หลังจากจะบินไปโชว์ตัวที่ดูไบ แต่กลับถูกส่งตัวกลับไทย โดยโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 16 มี.ค.65 ระบุว่า ฝันร้ายในขณะลืมตา เราตั้งใจมากที่จะได้ไปแสดงที่ดูไบ ขอบคุณโอกาสจากผู้ใหญ่และพี่กำปั้น
เอกสารสำคัญเราครบ พาสปอร์ต วีซ่า ใบจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ใบวัคซีน ตั๋วเข้างาน (เพื่อแสดง) ใบรับรอง ใบจองโรงแรมกักตัวที่ไทย ใบต่างๆ ครบ เราไปกับทีมประมาณ 14 คน ถึงแล้วประเทศที่เราอยากมา อยากเสพความรวย
เวลา 14:14 น. เราติด ตม.ดูไบ เขาให้เราไปที่ห้องๆ หนึ่ง แล้วขอพาสปอร์ตไป แล้วถามว่าทำไมถึงเป็นผู้ชาย (เราไม่แต่งหน้า รวบผมเรียบร้อย แต่งตัวสุภาพ) เรานั่งรอประมาณ 2 ชม. แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักมีพนักงานผู้ชายเดินมาเรียกเราขึ้นไปออฟฟิศ (เค้าสุภาพพูดจาดี เราชวนเค้าคุย เพื่อคลายกังวล) เรานั่งรอที่ออฟฟิศสักพัก แต่พนักงานห้องสัมภาษณ์ไม่มาสักที จนพนักงานส่วนอื่นๆ มาเดินมองเรา และมองเข้าห้องสัมภาษณ์ประมานว่า พนักงานสัมภาษณ์ไปไหน ไม่มาสัมภาษณ์สักที
สักพักพี่พนักงานผู้ชายเอเชีย เดินมาถามเราว่า พนักงานข้างล่างให้คุณถอดเสื้อผ้าไหม เค้าบอกว่าเขาไม่เห็นด้วย ถ้าพวกนั้นให้เราถอด เขาบอกเข้าใจเรามาก เขารู้ว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร จังหวะนี้คือน้ำตาเราไหลออกมาเลย เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แล้วขอบคุณที่ในบรรยากาศแย่ๆ เช่นนี้ ยังมีคนเข้าใจเรา เขาบอกเราว่า อยู่กับเค้าตรงนี้แหละดีแล้ว และถามว่าเอาทิชชูไหม คงเห็นเราร้องไห้ และเอาแก้วน้ำมาให้
...
เรารอจนถึง 18:30 น. (ผ่านไป 4 ชม.) เราได้เข้าห้องสัมภาษณ์ พี่คนหนึ่งใจดี อีกคนเหมือนใจร้าย เขาพูดเสียงดังมาก แต่เราไม่กลัวหรอก เราตอบตามจริง เราเปิดคลิปซ้อมงานให้ดู เราเปิดผลงานที่ไทยให้ดู ว่าเรามีตัวตนนะ แต่เขาไม่ค่อยสนใจ และสนใจเรื่องเพศมากกว่า เขาถามว่าทำหมดหรือยัง เราตอบหมดแล้ว เขาถามว่านมเราใหญ่หรือเล็ก เราก็ตอบเท่าที่จะตอบได้ เราตอบด้วยความไม่กลัวอะไรเลย เพราะเรามาทำสิ่งที่เรารักจริงๆ เราเห็นภาพตัวเองอยู่บนเวทีงาน Expo แล้ว มาลุ้นกันว่าเราจะได้เข้าประเทศเค้าได้ไหม
19:00 น. เขาเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์อีก 1 รอบ แล้วถามว่า ทำไมถึงตัด ก็ตอบไป เราเชื่อว่าเราเป็นผู้หญิงมาตั้งแต่เกิด สักพักน้ำตามาอีก เหมือนพนักงานคนใจดีเข้าใจเรานะ แล้วก็ถามว่ามีลูกได้ไหม เขาคงไม่รู้จริงๆ พี่คนเสียงดังเขาพูดอะไรสักอย่าง แล้วบอกว่า คุณไปรอห้องผู้ชายก่อน เพราะคุณเป็นผู้ชาย เราน้ำตาตกในมาก แต่ยิ้มสู้ แล้วเขาก็บอกให้เราเข้าใจทางเขาด้วย
19:22 น. พนักงานเอเชียคนเดิมเดินเข้ามากระซิบเราว่า โอเคไหมอยู่ในห้องนี้ เราบอกตามตรงเราไม่โอเค น้ำตามาอีก 1 เขาพาเราออกมาหาที่นั่งหน้าห้อง หาเก้าอี้มาให้ เราขอบคุณเขามากจริงๆ เขาบอกว่าเรียกเขาได้ตลอด
23:30 น. (ผ่านไป 9 ชม.) สรุปเราเข้าไม่ได้ และว่า จะส่งเรากลับไทย (เข้าใจอารมณ์หูดับ ใจหล่นไหมคะ ใช่เลย) เหตุผลเพราะเราเป็นผู้หญิง แต่พาสปอร์ตเป็นผู้ชาย เขาบอกให้เข้าได้นะ แต่กลับไปแก้พาสปอร์ตให้เป็น Miss กับ Female ก่อน
เราร้องไห้แทบตลอดเวลา นั่งคนเดียว ไม่มีเพื่อน ท่ามกลางพนักงานผู้ชายทั้งหมด เราได้ตั๋วกลับไทย 03:00 น. ของอีกวัน (ไม่ใช่ตี 3 ที่จะถึงนะ ตี 3 ของอีกวัน) ระหว่างนั้นเขาพาเราไปตรวจ RT-PCR และเขาให้ตั๋วทานข้าวเรามา เราสามารถเดินไปเลือกทานเลย (ก็เดินร้องไห้ให้คนงงไปเลยค่ะ ร้องเลยไม่อาย ไม่มีใครรู้จัก)
พอเราทานอาหารเสร็จ เขาเดินมาบอกว่า เลื่อนตั๋วให้บิน 10:00 น. นะ เราดีใจมากได้กลับไปหาแม่เร็วขึ้น แต่ความยากที่ตามมาคือ เราต้องรีบหาโรงแรมกักตัว ซึ่งกระชั้นชิดมาก (เพราะโดนส่งกลับกะทันหัน) แต่ในใจตอนนั้นคือ ฉันขอเหยียบแผ่นดินไทยก่อน กักที่ไหนก็ได้ ตอนนั้นมีพนักงานชายคนหนึ่งเป็นคนอินเดีย เค้าเทคแคร์เรามาก เดินมาหาเป็นพักๆ พร้อมพูดว่า can’t cry เขาพยายามช่วยวิ่งเต้น เรื่องผลตรวจ RT-PCR ระหว่างนั้นเราต้องรีบจองโรงแรม เพื่อกักตัว ต้องมีเอกสารจองกักตัว ตั๋วบินถึงออกได้
เวลาผ่านไปช้ามาก นั่งที่เดิม หลับ 10 นาที ตื่นมาร้องไห้ครึ่ง ชม. หลับได้อีก 15 นาที ตื่นมาดูนาฬิกา วนลูปอยู่แบบนี้ จนได้ยินเสียงเขามาเรียกเรา
09:00 น. (ผ่านไป 19 ชม.) ได้เวลาขึ้นเครื่อง เขาให้เราเดินตามมาไปยังเครื่องบิน โดยไม่ให้เราจับพาสปอร์ต และส่งไม้ต่อให้แอร์บนเครื่องพาเราไปนั่ง แต่ก็ยังไม่ได้จับพาสปอร์ตอยู่ดี พี่แอร์บอกว่า เราจะเก็บพาสปอร์ตไว้ และถึงไทยจะมีน้องมาดูแลอีกที อุ่นใจขึ้นมาหน่อย หลับเต็มอิ่ม ข้าวบนเครื่องไม่ได้อร่อยมาก แต่กินเกือบหมด เพราะร่างกายขาดอาหารมานาน
19:15 น. ล้อแตะพื้นแผ่นดินไทย พร้อมน้ำตา หลังเครื่องจอดมีพี่แอร์กราวนด์ผู้หญิงมาดูแลต่อ เป็นคนไทยคนแรกที่เราร้องไห้ด้วย ระบายทุกอย่าง พี่เค้าเทคแคร์เราดีมาก พาไปทำเอกสาร Test&Go พาเดินไปห้อง เพื่ออธิบายเหตุผลที่โดนส่งกลับ
หลังจากนั้น เราก็ไปที่ประตูทางออก และขึ้นรถโรงแรมที่พี่ทาง กกท. จัดหาให้เพื่อไปกักตัว ระหว่างทางต้องแวะตรวจ RT-PCR ถึงโรงแรมกักตัว อาบน้ำ นอน ตื่น กลับบ้าน ปิดเครื่อง กราบเท้าแม่ ปลูกต้นไม้ เล่นกับแมว อยู่กับตัวเองเป็นอาทิตย์ แต่เมื่อวานเห็นเครื่องบินยังนั่งร้องไห้อยู่เลย คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาส และขอโทษพี่กำปั้น พี่หลง พี่นะ ที่ต้องนั่งรอ ทำให้เสียเวลาและกังวลใจ
เรื่องนี้เราไม่โทษพนักงานดูไบเลย (แต่โกรธ) เราโทษกฎหมายไทย ถ้าเขาก้มลงมามองเรื่องที่เรา และหลายๆคนต้องเจอปัญหาแบบเรา หวังว่าเขาจะมองว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขสักทีนะ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โพสต์ดังกล่าว ถูกเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้าไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก แต่ชาวเน็ตบางส่วนก็ได้แสดงความเห็นว่า จะที่โทษกฎหมายไทยอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเจ้าของโพสต์ ควรคุยรายละเอียดกับคนที่มาติดต่อ และศึกษาเรื่องนี้ให้ชัดเจน โดยเฉพาะการบินเข้าประเทศมุสลิม ในขณะเดียวกันบางส่วนก็เห็นด้วยที่ว่ากฎหมายไทยที่ล้าหลังจริงๆ.
(อ่านโพสต์ต้นฉบับทั้งหมดได้ที่นี่)
ขอบคุณข้อมูล เฟซบุ๊ก Rachaya Noppakaroon