- วิธีรับมือต่อความเสียใจ เมื่อเสียบุคคลใกล้ชิด อันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน ยอมรับความจริง พยายามเดินหน้าต่อในวิถีชีวิตที่เป็นปกติให้ได้
- เมื่อก้าวผ่านความเสียใจไม่ได้ อาจพัฒนาไปสู่ โรคซึมเศร้า คนใกล้ชิดต้องหมั่นสังเกต
- คนเข้มแข็งต้องไม่ร้องไห้ คนแบบนี้มีจริงไหม? เศร้าและเสียใจ แต่แสดงความรู้สึกอ่อนแอไม่ได้
จากข่าว "แตงโม นิดา" ดาราสาวตกเรือเมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 ก.พ. 2565 ก่อนจะพบร่างเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสูญเสียกะทันหัน สร้างความสะเทือนใจให้กับคนสนิท แฟนคลับที่ติดตามผลงาน รวมไปถึงประชาชนที่ติดตามข่าวสาร
จากการสอบถาม แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ถึงการรับมือด้านสภาพจิตใจ เมื่อสูญเสียคนที่รักอย่างกะทันหันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจ ตกอกตกใจ และก็ปรับตัวไม่ได้ง่าย โดยทั่วๆ ไป เรามักจะนึกถึงกลไกการสูญเสียที่กระทบต่อผู้ใหญ่ แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องนึกถึงด้วยก็คือ เด็กที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับผู้ที่จากไป
ความเจ็บปวดของผู้ใหญ่
ในกรณีของผู้ใหญ่ ประเด็นทางจิตใจของผู้ใหญ่ คนทั่วๆ ไปที่พบอาการสูญเสีย ครั้งแรกสุดอาจจะเริ่มต้นด้วยความรู้สึกไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธความจริงว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะว่าสภาพใจอาจจะยังไม่ได้พร้อม กลไกนี้ทำให้ความเจ็บปวดนี้ลดลง ซึ่งจะทำให้นำไปสู่การเรียกว่า "ค้นหาคำตอบนั้นใหม่" หรือบางครั้งถ้าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ก็จะเป็นความโกรธต่อผู้แจ้งข่าว โดยยืนอยู่บนหลักว่า "ฉันไม่ยอมรับความจริงอันนั้น" เพราะมันเจ็บปวดเหลือเกิน

...
นอกจากการปฏิเสธความจริงแล้ว หลายคนยังมีความโกรธติดตามมา ความโกรธนี้บางครั้งเกิดขึ้นกับผู้เกี่ยวข้อง หรือบางครั้งโกรธตัวเองก็มี อีกอย่างที่เราพบได้ก็คือ ความรู้สึกต่อรองว่าเหตุการณ์นี้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เป็นคนอื่นได้ไหม คนที่จากไปอาจจะไม่ใช่ที่คนคนนี้ที่รักหรือผูกพันแต่เป็นคนอื่น
ทั้งการปฏิเสธความจริง ความโกรธ หรือการต่อรองบางครั้งจะเกิดปะปนไปมา อาจจะอยู่ในช่วงระหว่างค้นหาคำตอบ ความจริง แล้วอีกหนึ่งอารมณ์ที่มักจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก ก็คือ ความเศร้า ความทุกข์โศก ซึ่งเรื่องนี้เมื่อปะปนไปมาจนกระทั่งจิตใจมีความพร้อม ก็จะลงเอยด้วยการยอมรับสภาพความเป็นจริง

เมื่อยอมรับการสูญเสียแล้ว หลายคนก็ยังสามารถวนกลับไปนึกถึงความโกรธ นึกถึงความเศร้า หรือพยายามนึกถึงว่า เอ๊ะ มันเป็นเหตุการณ์อื่น เป็นคนอื่น เป็นเรื่องอื่นได้หรือไม่ กลไกตรงนี้ ยิ่งเข้าสู่การยอมรับอย่างจิตใจสงบลงได้เท่าไร การเดินหน้าของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีของการปรับตัวปรับใจ มีดังนี้
1. ยอมรับธรรมชาติของการสูญเสีย และความเจ็บปวดในใจของตัวเอง
2. ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมอยู่ในอารมณ์ด้านลบ ตามลำพังมากมาย ไม่ปล่อยให้ตัวเองหมกมุ่นอยู่กับความครุ่นคิดในเรื่องราวของการสูญเสียตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้พิธีกรรมทางศาสนาทั้งหลายมักจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเยียวยา เพราะพิธีกรรมเหล่านี้ จะเป็นกลไกเกิดการรวมญาติ รวมมิตร ที่มีความรู้สึกร่วมกันในการสูญเสีย แล้วทำให้ทุกๆ คนได้แลกเปลี่ยนความรู้สึก ได้ปรับทุกข์กัน ได้บอกเล่าความรู้สึกค้างคาในใจทั้งหลาย ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งส่วนในการเหมือนได้ร่วมใจส่งคนที่จากไปด้วยกัน ทำให้คนที่สูญเสียนั้นไม่โดดเดี่ยว

หลังจากนั้นก็ยังมีกลไกอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุน อย่างเช่น การพยายามให้ตัวเองเดินหน้าต่อในวิถีชีวิตที่เป็นปกติให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องให้เวลาตัวเองในการเยียวยาความรู้สึกเจ็บปวดด้วย ไม่ตำหนิ ไม่ลงโทษตัวเอง ไม่รู้สึกแย่ว่าทำไมเราทำใจไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาจริงๆ สำหรับการทำใจ
โดยทั่วไป กลไกของสิ่งแวดล้อม ญาติมิตรที่โอบอุ้มเห็นใจกัน แล้วก็เรื่องของการเยียวยาด้วยเวลาที่ผ่านไป การสูญเสียที่ฉับพลันทันที จะใช้เวลาสักประมาณเป็นหลักสัปดาห์ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน กว่าทุกๆ อย่างจะลงตัว ซึ่งตรงนี้จะค่อนข้างสอดคล้องกับพิธีกรรมทางศาสนา เรื่องของการทำบุญ 100 วัน ก็จะเป็นสภาพที่ยอมรับเกิดขึ้นได้ค่อนข้างลงตัวแล้ว จิตใจเริ่มสงบแล้ว แล้วก็เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเดินต่อในสภาพชีวิตที่เป็นปกติของทุกๆ ฝ่าย
อย่ามองข้ามสภาพจิตใจ "เด็ก" เจ็บปวด เสียใจเป็น
สภาพจิตใจของเด็กที่ผู้ใหญ่มักมองข้าม กลไกของความรู้สึกไม่ยอมรับความจริง ความโกรธ การรู้สึกต่อรอง แล้วก็ความรู้สึกเศร้า แล้วก็ความรู้สึกยอมรับนั้น เกิดขึ้นในเด็กได้เหมือนกัน แต่อาจจะเป็นกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างโต ซึ่งเริ่มมีความเข้าใจเรื่องของความตายแล้ว แต่ในเด็กเล็กๆ บางครั้งความรู้สึกของเขา อาจจะเป็นลักษณะของความคิดถึง หรือความกังวลต่อการจาก ไม่ได้เห็นคนที่ตัวเองรัก มากกว่าความเข้าใจความตาย
สำหรับวิธีการบอกเล่าให้เด็กๆ เข้าใจอย่างง่ายๆ อย่างเช่น การบอกให้รู้ว่า สมมติว่าเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ ก็บอกเขาว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ ตอนนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ท่านจากไปแล้ว เป็นการบอกที่ง่ายๆ สั้นๆ แล้วก็การเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสกับความรู้สึกของผู้ใหญ่

ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ต้องสังเกตท่าทีของเด็กด้วย ถ้าหากเด็กมีความกังวลต่อการจากพราก มีความรู้สึกคิดถึง ว่าชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ หรือมีความเครียดขึ้นมา แล้วแสดงออกด้วยความซุกซนมากผิดปกติ หรือว่าการแยกตัวมากผิดปกติ ผู้ใหญ่ต้องดูแลเด็กด้วยความเข้าใจ ชวนคุย ชวนอ่านหนังสือ เล่านิทาน ซึ่งปัจจุบันมีนิทานที่เขียนได้น่ารักมาก และละมุนละม่อมต่อจิตใจของเด็กในการเรียนรู้การจากพราก สามารถค้นหาและดาวน์โหลดได้ผ่านเว็บไซต์
ซึ่ง สสส. เองก็มีการทำหนังสือนิทาน ที่เหมาะสมสำหรับเด็กเพื่อให้เด็กเรียนรู้แล้วก้าวข้ามความทุกข์ตรงนี้ไปได้ แล้วก็เช่นเดียวกัน ถ้าเด็กซนเกินไป เด็กแยกตัว เด็กงอแงโยเย ความใกล้ชิดของผู้ใหญ่แล้วก็ดึงให้เด็กทำกิจกรรมต่างๆ อย่างอบอุ่น รวมถึงการให้เวลากับเขา ให้โอกาสเขา เขาจะค่อยๆ ปรับตัวแล้วก็ผ่านเหตุการณ์ตรงนี้ไปได้ด้วยดีเช่นกัน
แต่ว่าถ้าเป็นเด็กโต บางครั้งอาจจะแสดงออกด้วยความก้าวร้าว ความฉุนเฉียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของวัยรุ่น หรือบางครั้งแปลกแยกจากวงของญาติมิตรที่กำลังรู้สึกร่วมด้วย ความสูญเสีย ออกไปเก็บตัว หรือบางทีก็ออกไปเกาะอยู่กับกลุ่มเพื่อน
กรณีเช่นนี้ ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่ได้แปลว่าวัยรุ่นทุกคน หรือเด็กๆ ทุกคน จะต้องแสงออกด้วยการร้องไห้โฮ ฟูมฟายเสียใจ บางคนมีวิธีการแสดงออกตามวัยของเขา ซึ่งเราก็คงต้องอยู่เคียงข้างแล้วก็รักษาความรู้สึกเขาด้วยความเข้าใจ อะไรที่เขาอยากให้เราช่วยเหลือ ก็ดูแลเขาตามความเหมาะสม เราทุกคนในครอบครัวก็จะสามารถผ่านความรู้สึกเจ็บปวดตรงนี้ไปด้วยกันได้
เศร้าจากการสูญเสีย ก้าวข้ามไม่ได้ อาจพัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้า
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สามารถเป็นไปได้ บางครั้งเหมือนกับเกิดเป็นภาวะซึมเศร้าที่รุนแรง หรือบางคนอาจจะถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าระยะเวลาหนึ่งเลยก็ได้ แล้วในผู้ที่มีความเปราะบางอยู่เดิม อย่างเช่น เป็นคนที่มีความอ่อนไหวมาก หรือมีเรื่องที่ค้างคาใจกับผู้ที่จากไป มีบางประเด็นที่ยังมีความขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้แปลว่าความโกรธกัน บางครั้งต่อให้เป็นความรักมาก ก็ยังมีความขัดแย้ง ความไม่ลงตัวบางเรื่องที่เหมือนยังไม่สื่อสารกันสิ้นสุดลงตัว กลุ่มนี้ก็อาจจะเกิดภาวะซึมเศร้า หรือแม้แต่โรคซึมเศร้าได้ง่ายขึ้น กลุ่มคนที่เคยมีประวัติของโรคทางจิตเวชรวมถึงโรคซึมเศร้าอยู่เดิม การสูญเสียที่รุนแรงแบบนี้และกะทันหัน อาจจะไปปลุกเร้าให้เกิดตัวโรคซึมเศร้า หรือโรคทางจิตเวชนั้นกลับมาเกิดซ้ำ หรือมีอาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิมได้

ตรงนี้มีข้อสังเกตว่าเมื่อไร จะบอกว่าอาการเศร้านั้นแย่แล้ว ภาวะของการสูญเสียโดยทั่วๆ ไป เราให้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ที่คนคนนั้นจะรู้สึกเหมือนกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือหลับแล้วจะมีภาพ เหตุการณ์ต่างๆ ความผูกพันต่างๆ ผุดขึ้นมาเสมอ เป็นไปได้ที่อาจจะมีน้ำหนักลดไปบ้าง อาจจะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงอ่อนเพลีย อาจจะไม่สามารถทำกิจวัตรได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
แต่ถ้าอาการข้างต้น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตได้ บางครั้งปลีกตัว แยกตัวมาก หรือมีอารมณ์โกรธหรือเกรี้ยวกราดเยอะมาก จนกระทั่งกระทบกับความสัมพันธ์กับคนรอบตัวไปหมด
ถ้าหากสิ่งนี้ตกค้างอยู่นานเกินกว่า 2 สัปดาห์ ชีวิตจะไปต่อยากแล้ว กรณีนี้จำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ปรึกษาคุณหมอ บางครั้งอาจจะแก้ไขได้ง่ายดายเพียงแค่ได้รับยาคลายกังวล หรือว่าได้รับการได้รับคำปรึกษา ได้มีการระบายความรู้สึกกับผู้เชี่ยวชาญ ก็กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น
แต่ในบางกรณีคุณหมอประเมินแล้วว่าเป็นโรคซึมเศร้าก็อาจจะต้องได้รับการรักษาแบบโรคซึมเศร้า ซึ่งหมายถึงการรับยารักษาโรค ตัวต้านเศร้า แล้วก็อาจจะต้องมีกระบวนการของการทำจิตบำบัดเพิ่มเติมอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งถ้าหากติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องก็จะดูแลได้ทั้งโรคซึมเศร้าและจะช่วยเยียวยาภาวะการสูญเสียนี้ ไม่ให้เป็นปัญหาต่อเนื่องในจิตใจในระยะยาวด้วย
ปล่อยให้ภาวะเศร้าอยู่กับเรามากๆ ไปเรื่อยๆ จะส่งผลเสียต่อตัวเองอย่างไร
แพทย์หญิงอัมพร ระบุว่า ภาวะเศร้าที่ตกค้างไว้ในใจ โดยที่ไม่ได้รับการคลี่คลายดูแล บางทีกลายเป็นภาวะทางจิตใจที่เราเรียกว่า "เก็บกดทางอารมณ์" ซึ่งการเก็บกดทางอารมณ์ก็จะทำให้เป็นคลื่นของอารมณ์เศร้า อารมณ์โกรธ หรือว่าอารมณ์ด้านลบอื่นใดก็ได้ ก็จะโผล่ขึ้นมาเป็นระยะๆ โดยที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ด้วยความที่พยายามเก็บกดอารมณ์ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจความรู้สึกตัวเองแล้วก็ไม่ได้จัดการ ให้คลายไปให้มันเหมาะสม ซึ่งวิธีการเก็บกดอารมณ์ จิตแพทย์ไม่แนะนำเลย
ในทางกลับกันแนะนำให้ดูแลอารมณ์เศร้านั้น อย่างเหมาะสม อะไรที่ยังติดค้าง รู้สึกผิดกับผู้ที่จากไปนั้น ก็จำเป็นต้องได้รับการทบทวนพิจารณา ด้วยเหตุด้วยผลอย่างมีสติ เพื่อที่จะได้ปล่อยวางความรู้สึกติดค้างตรงนั้นให้คลี่คลายไปได้
ถ้าเราจัดการอารมณ์ตรงนี้ไม่ได้ ปัญหาโรคซึมเศร้าเรื้อรังก็เกิดขึ้นได้ หรือบางคนไม่ได้แสดงออกเป็นภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง ก็จะกลายเป็นคนที่เหมือนมีบุคลิกภาพหรือการควบคุมอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นคนหงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวง่าย หรือบางคนจะกลายเป็นคนที่เหม่อลอย ทำอะไรได้ประสิทธิภาพลดลงกว่าเดิม

หลายคนจะกลายเป็นคนที่มีปัญหาในหน้าที่การงาน มีปัญหาในความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง หลายคนไปใช้วิธีการผิดๆ เช่น การดื่มเหล้า การใช้สารเสพติด ทีนี้เลยกลายเป็นว่า ความทุกข์เรื่องที่ 1 จะนำไปสู่ความทุกข์เรื่องต่อมาเต็มไปหมด เป็นปัญหาทางกฎหมาย ความเสียหายต่อชีวิตก็เกิดขึ้นได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องแนะนำให้ทุกๆ คนได้ดูแลความทุกข์โศก หรือว่าการสูญเสียของตัวเองให้ดีด้วย
เบื้องต้นสามารถโทรศัพท์ไปที่หมายเลข 1323 เพื่อการประเมินเบื้องต้น หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ www.วัดใจ.com หรือว่าอีกหลายๆ แหล่งของกรมสุขภาพจิตก็จะมีเครื่องมือที่เราจะใช้ประเมินตนเองได้ แต่ถ้าสมมติว่าจากประเมินเบื้องต้นหรือปรึกษาเบื้องต้นแล้วยังพบอาการไม่ดีเลย ควรจะต้องรักษา ก็สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ได้ตามโรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลของกรมสุขภาพจิต
เศร้า แต่ร้องไห้ แสดงความอ่อนแอต่อหน้าสาธารณชนไม่ได้ แบบนี้เกิดขึ้นได้ไหม
แพทย์หญิงอัมพร กล่าวว่า การแสดงออกมีความหลากหลายมากอยู่แล้วตามพื้นฐานของแต่ละบุคคล ตามรูปแบบของการถูกหล่อหลอมทางจิตใจ ความเชื่อ และค่านิยม เรื่องของความทุกข์ ความเสียใจ คนส่วนใหญ่อาจจะแสดงออกตรงๆ ก็คือ ร้องห่มร้องไห้ แต่ว่าบางคนก็อาจจะแสดงออกที่แตกต่างไปในรูปแบบของความโกรธ ความฉุนเฉียว ทะเลาะเบาะแว้งก็มีเหมือนกัน เราเคยเห็น พอเกิดเรื่องสูญเสียก็เหมือนพาล อารมณ์เสีย แล้วก็ทะเลาะกับคน บางคนอาจจะแสดงออกเป็นความเฉยเมย เก็บตัว แยกตัว แบบนี้ก็เจอได้ ขึ้นอยู่กับค่านิยม หรือการเลี้ยงดูที่ปลูกฝัง หรือต้นแบบที่เคยรับมารวมทั้งบทบาททางสังคมก็มีอิทธิพลเยอะด้วย ผู้ที่อาจจะถูกหล่อหลอมมาว่าอย่างเช่น อย่างที่เราเคยได้ยินว่า ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ หรือความเชื่อที่ว่าคนที่ทระนงจะต้องไม่เสียน้ำตาต่อหน้าคนอื่น
ถ้าหากถูกหล่อหลอมมาเช่นนี้ก็เป็นไปได้ว่า คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะพยายามควบคุมอารมณ์ด้านลบ แล้วบางครั้งถ้าควบคุมได้สำเร็จ ในรูปแบการไม่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น เป็นความเฉยเมยเย็นชาที่แสดงต่อหน้าคนอื่น แล้วไปในที่ปลดปล่อยแสดงอารมณ์ในที่ที่เหมาะสม ในสถานการณ์ที่เหมาะสม อย่างเช่น ไม่ร้องไห้ต่อหน้าฝูงชน แต่ไปร้องไห้ต่อหน้าคนที่เขาวางใจ คนที่เขารู้สึกอบอุ่น อันนี้ถือว่าเป็นการควบคุมอารมณ์ที่ดี

แต่คนจำนวนไม่น้อย บางครั้งไม่รู้สึกตัว ไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัวเอง คือเจ็บปวดจนเฉยชา แล้วก็ไม่ยอมให้ตัวเองแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม เพราะเข้าใจว่า นั่นคือความผิด นั่นคือความอ่อนแอ แล้วก็อาจจะเป็นทดแทนด้วยความเกรี้ยวกราด หรืออาจจะทดแทนด้วยการแสดงความขัดแย้ง หรือเก็บตัวเหินห่าง กลุ่มแบบนี้ในระยะยาวอาจจะมีปัญหาความสัมพันธ์ หรือว่าอาจจะมีปัญหาในการทำหน้าที่ของตนเองในชีวิตประจำวันได้ด้วยเหมือนกัน เราเจอบ่อย แล้วก็ถือเป็นสิ่งที่ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากสนับสนุนให้ แม้จะไม่แสดงออกในที่สาธารณะ แต่การมีที่ปรึกษา หรือผู้รับฟังที่ดีก็จะทำให้ปลดปล่อยอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม.
ผู้เขียน : J. Mashare
กราฟฟิก : Jutaphun Sooksamphun