"หมอมนูญ" ชี้ป้องกันติดเชื้อทำได้ยาก ควรเปลี่ยนเป้ามาลดป่วยหนัก-ตายแทน ชี้ยาแพกซ์โลวิดช่วยได้ หากรีบให้ทันทีภายใน 5 วันที่เริ่มมีอาการ แต่ปัญหาคือ ยานี้ยังไม่เข้าไทย
วันที่ 22 ก.พ. 65 หลังจาก สธ.ประกาศยกระดับเตือนภัยโควิดเป็นระดับ 4 ทั่วประเทศ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด ผ่านเฟซบุ๊ก "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" โดยระบุว่า ประเทศไทยควรเปลี่ยนเป้าหมาย จากการลดจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นการลดจำนวนผู้ป่วยหนัก และเสียชีวิตหลังการติดเชื้อ
โดยให้เหตุผลว่า การป้องกันการติดเชื้อทำได้ยาก เพราะเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน BA.1 และ BA.2 ติดกันง่ายมาก แพร่ทางอากาศ อย่างเก่งทำได้แค่ชะลอเวลาติดเชื้อออกไปสักพัก เพื่อใช้เวลานี้รีบฉีดวัคซีนให้กับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับคนที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มแล้ว
วัคซีนช่วยลดความรุนแรง ป่วยหนักและเสียชีวิตได้มากกว่าร้อยละ 90 ในขณะนี้ประเทศไทยมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งแอสตราเซเนกา และไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา เพียงพอสำหรับคนในประเทศทุกคน แต่มีคนจำนวนมากยังกลัวผลข้างเคียงของวัคซีน และปฏิเสธการฉีดวัคซีน รัฐบาลต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ อย่างน้อยร้อยละ 90 ของกลุ่มคนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ ให้ได้รับวัคซีน 2 เข็ม และอย่างน้อยร้อยละ 60 ของกลุ่มเสี่ยงนี้ได้รับการฉีดเข็มกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3
วัคซีนเป็นการลงทุนที่ได้ผล และคุ้มค่าที่สุดในการลดการป่วยหนัก และเสียชีวิตจากโรคโควิด สำหรับคนกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือยังฉีดไม่ครบ กลุ่มนี้ควรจะได้รับยาต้านไวรัสชนิดกิน Paxlovid ไม่ใช่ยาฟาวิพิราเวียร์ รีบให้ทันทีภายใน 5 วันที่เริ่มมีอาการ จะสามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ร้อยละ 90
...
ปัญหาคือยานี้ยังไม่เข้าประเทศไทย ต้องรออย่างน้อยอีก 2-3 เดือนข้างหน้า กว่าบริษัทยาจะผลิตยาได้มากเพียงพอสำหรับความต้องการของทุกประเทศ.
ขอบคุณข้อมูล เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC