- โรค "มะเร็ง" ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของไทย จากสถิติมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งไม่ต่ำกว่าแสนรายต่อปี และมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- ปัจจุบันการรักษามีแนวทางหลัก 3 วิธี คือ ยาเคมีบำบัด, ยามุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัด
- ขณะที่ รพ.จุฬาฯ เผยความคืบหน้า "วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล" ซึ่งวัคซีนนี้ เป็น "วัคซีนรักษามะเร็ง ไม่ใช่วัคซีนป้องกันมะเร็ง" โดยผลวิจัย พบอาสาสมัครภูมิขึ้น มีผลข้างเคียงน้อย ปัจจุบันผู้ป่วยรายนี้อาการคงที่
"โรคมะเร็ง" ถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย และมีแนวโน้มอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากสถิติพบว่า มีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ 139,206 คนต่อปี และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 84,073 คนต่อปี โดยโรคมะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกในคนไทย คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี, มะเร็งเต้านม, มะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และมะเร็งปากมดลูก
ซึ่งเราสามารถปฏิบัติตน เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เช่น เลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง รวมถึงการป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการได้รับสารก่อมะเร็ง จากการประกอบอาชีพ และสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน เราสามารถสังเกตอาการผิดปกติเรื้อรังทางร่างกาย จากสัญญาณเตือน 7 ประการ ได้แก่ ระบบขับถ่ายเปลี่ยนแปลง เป็นแผลเรื้อรัง ร่างกายมีก้อนตุ่ม กลืนกินอาหารลำบาก ทวารทั้งหลายมีเลือดไหล ไฝหูดเปลี่ยนไป ไอและเสียงแหบเรื้อรัง ซึ่งหากพบความผิดปกติ และพบแพทย์ได้เร็ว ก็จะได้รับการรักษาได้รวดเร็วเช่นกัน
...
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า จากสถิติมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งไม่ต่ำกว่าแสนรายต่อปี และมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จึงดำเนินการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย รักษา โรงมะเร็ง ตลอดจนการดูแลติดตามผลหลังการเป็นโรค สิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันและวินิจฉัยให้เร็ว ถ้าพบในระยะแรกๆ มีโอกาสสามารถหายขาดได้
ด้าน รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการให้ยารักษามะเร็ง มีแนวทางหลัก 3 วิธี คือ ยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูง มีประสิทธิภาพปานกลาง และอาจมีผลข้างเคียงที่มาก, ยามุ่งเป้า เป็นการให้ยารักษาที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง มีประสิทธิภาพจำเพาะเฉพาะในรายที่มีการกลายพันธุ์ตรงกับตัวยา อาการข้างเคียงมักไม่รุนแรง เมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด และภูมิคุ้มกันบำบัด ซึ่งมีทั้งการรักษาแบบการให้ยาแอนติบอดี และการใช้เซลล์บำบัด ทั้งสองแนวทางนี้ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วย ไม่จำเพาะกับชนิดมะเร็ง ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงน้อย
ปัจจุบันโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ได้มีการวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด เน้นพัฒนาการรักษาใน 3 วิธี คือ เซลล์บำบัดมะเร็ง วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง) ซึ่งภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้ มีจุดเด่นต่างกัน แต่สามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
และเนื่องจาก มะเร็งเป็นความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย ปัจจุบันมีการรักษาโดยการผ่าตัด การฉายรังสี และรักษาด้วยยา รวมทั้งมีการวิจัยและพัฒนามุ่งเน้นการรักษาที่เฉพาะเจาะจงไปในรายบุคคลให้มีความแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นนวัตกรรมใหม่ที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ อยู่ในขั้นตอนการวิจัยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป้าหมายในอนาคตจะมีการทดสอบในวงกว้างต่อไป
อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เผยถึงโครงการพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลว่า ทีมวิจัย ได้พัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลมาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงขั้นตอนทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ให้กับอาสาสมัคร ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ซึ่งถือเป็นการทดสอบทางคลินิกครั้งแรกในประเทศไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การผลิตวัคซีนเฉพาะบุคคลต้องใช้ข้อมูลการกลายพันธุ์ที่ตรวจพบในผู้ป่วยรายนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกัน ที่จำเพาะต่อการกลายพันธุ์ของมะเร็ง เนื่องจากมะเร็งของผู้ป่วยแต่ละคนมีการกลายพันธุ์ที่ต่างกัน การผลิตวัคซีนจึงต้องทำครั้งละ 1 ราย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่จำเพาะ และมีประสิทธิภาพไว้ต่อสู้กับโรคมะเร็ง
ในการให้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล เริ่มด้วยการนำชิ้นเนื้อมะเร็งจากผู้ป่วยมาถอดรหัสพันธุกรรม เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่พบในชิ้นเนื้อมะเร็งเท่านั้น ซึ่งไม่พบในเซลล์ปกติของร่างกาย และนำข้อมูลการกลายพันธุ์มาผลิตเป็นชิ้นส่วนของโปรตีนของมะเร็งที่กลายพันธุ์ขนาดเล็ก ที่มีเพียงข้อมูลการกลายพันธุ์ แต่ไม่สามารถก่อโรคได้ โดยที่ไม่มีการฉีดเซลล์มะเร็งเข้าในร่างกายแต่อย่างใด
หลังฉีดวัคซีน เม็ดเลือดขาวชนิด antigen presenting cells จะกินชิ้นส่วนโปรตีนกลายพันธุ์ที่ผลิตไว้ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ให้รู้จักการกลายพันธุ์ของมะเร็งมากขึ้นอย่างจำเพาะ ดังนั้น วัคซีนนี้จึงเป็น "วัคซีนรักษามะเร็ง ไม่ใช่วัคซีนป้องกันมะเร็ง" ในต่างประเทศ เช่น ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีการศึกษาพบว่าการใช้วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล ร่วมกับการให้ยาแอนติบอดี ที่ช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกัน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้สูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยสามารถทำวัคซีนเฉพาะบุคคลเองได้ จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าจากต่างประเทศได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของราคาในปัจจุบัน ซึ่งก็จะทำให้ราคาถูกลง และทำให้เกิดการเข้าถึงนวัตกรรมวัคซีนนี้ได้มากขึ้น
ในส่วนของการนำวัคซีนมารักษามะเร็งเฉพาะบุคคลนั้น อ.นพ.ไตรรักษ์ ระบุว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทีมวิจัย ได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4 จำนวน 4 ราย เป็นผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (melanoma) 3 ราย และมะเร็งไต 1 ราย พบว่าหลังฉีดวัคซีน มีความปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อย และหลังฉีดวัคซีน 3 สัปดาห์ พบว่าการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยทั้ง 4 ราย ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีความจำเพาะต่อชิ้นส่วนการกลายพันธุ์ของผู้ป่วยมะเร็งรายนั้น
ขณะที่การตอบสนองทางพยาธิวิทยา ในผู้ป่วย 1 ราย ซึ่งประเมินจากการกระจายตัวของเม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ในชิ้นเนื้อมะเร็ง พบมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน โดยก่อนฉีดวัคซีน ตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่บริเวณรอบนอกก้อนมะเร็งเป็นหลัก หลังได้รับวัคซีน พบว่า เม็ดเลือดขาวมีการเปลี่ยนแปลง ตอบสนองในทางบวก มีการกระจายตัวเข้าไปในชิ้นเนื้อมะเร็งมากขึ้น ปัจจุบันผู้ป่วยรายนี้อาการคงที่
และเป้าหมายในอีก 4 ปีข้างหน้า หากมีการพิสูจน์ประสิทธิภาพของวัคซีนได้ ว่ามีความปลอดภัย ทีมวิจัย จะเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบทางคลินิก โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และจะได้ดำเนินการขึ้นทะเบียน
ขณะเดียวกัน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง ได้ทำการวิจัยและพัฒนายาแอนติบอดีรักษามะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง) คู่ขนานไปด้วย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการผลิตในโรงงาน โดยจะเริ่มการทดสอบในสัตว์ทดลองในปี 2565 และเริ่มการทดสอบทางคลินิกในผู้ป่วยมะเร็งในปี 2566 ซึ่งหากการพัฒนาวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีประสบผลสำเร็จ จะสามารถรักษาทั้ง 2 วิธีควบคู่กันไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ดำเนินการสร้างห้องปลอดเชื้อพิเศษเพื่อการผลิตเซลล์และวัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคลเพิ่มเติม ที่เน้นการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างครบวงจร รวมกันเป็น “ศูนย์บูรณาการวิจัยและรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย” ซึ่งคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ด้วย
ผู้เขียน : เจ๊ดา วิภาวดี
กราฟฟิก : Chonticha Pinijrob