"อ.เจษฎ์" เชื่อ "โอมิครอน" ในไทย ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ใช่ขาลง คาดการระบาดระลอก 5 มาแน่ ช่วงเดือน ก.พ. - มี.ค. ขออย่าประมาท

วันที่ 31 ม.ค. 65 รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊กเพจ "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์" โดยเชื่อว่า ยังคงเป็นขาขึ้น ไม่ใช่ขาลง โดยระบุว่า ได้เห็นหลายคนออกความเห็นในเชิงว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ซึ่งระลอกใหม่นี้มากับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน (omicron) นั้น กำลังเป็นขาลงแล้ว เรากำลังจะผ่านพ้นวิกฤติไปแล้ว

บางคนก็เสริมด้วยการยกรายงานข่าวสถานการณ์ในต่างประเทศ ว่าหลายประเทศเป็นขาลงแล้ว แถมของไทย ก็มีข่าวว่า สธ. จะปรับลดระดับความฉุกเฉินของโควิด ให้เป็นโรคประจำถิ่น

ก็ต้องขอบอกว่า ผมเห็นต่างในเรื่องนี้นะครับ ผมคิดว่าเรายังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการแพร่ระบาด ยังไม่มีหลักฐานว่ามันถึงจุดสูงสุดแล้วและกลายเป็นขาลง อย่างที่เข้าใจกัน

คือ เป็นเรื่องจริงที่หลายประเทศ ซึ่งมีการระบาดของ omicron อย่างหนัก จนมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมายอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 1-2 เดือน ก็มาถึงจุดพีกสุดของการระบาด และกำลังลงมาอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น ประเทศแอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฯลฯ (ดูรูปที่ 1 ประกอบ)
ส่วนของไทยเราเองนั้น แม้ว่าเส้นกราฟจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวัน จะยังไม่ได้พุ่งสูงชันเหมือนของประเทศอื่นๆ แต่ก็เห็นได้ว่าอยู่ในช่วงที่ยังเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะถ้าดูแบบที่นับรวมทั้งผลการตรวจแบบ PCR และ ATK ด้วยกัน (เส้นสีเทาในรูปที่ 2) ก็จะเห็นได้ว่ายังคงเป็นขาขึ้น

เพียงแต่ว่าถ้าเทียบประเทศไทย กับเอเชียประเทศอื่นๆ ที่กำลังมีการระบาดขนาดนี้ (เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ในรูป) กราฟของเราค่อนข้างไม่ชันมากนัก ซึ่งอาจจะมาจากความสามารถในการที่ช่วยกันควบคุมการแพร่ระบาด กดความชันกราฟเอาไว้ของคนไทย

หรือในมุมกลับข้าง การที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานอย่างเป็นทางการนั้นยังไม่สูงนัก อาจเกิดจากปัญหาเรื่องการตรวจ ที่ยังไม่กว้างขวางครอบคลุมเชิงรุกเพียงพอ, หรือจากกรณีที่ถ้าตรวจ ATK เป็นบวกแล้ว ก็มักจะให้ทำการกักตัวที่บ้านเลย โดยไม่นำยอดรวมนับกับของกระทรวงด้วย, แถมผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการป่วย หรือมีเพียงแค่เล็กน้อย ทำให้ไม่เคยได้รับการตรวจด้วยซ้ำ จนหายเอง

สุดท้าย ทำให้มีตัวเลขรายงานผู้ติดเชื้อ น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับแนวโน้มในประเทศอื่นๆ ที่ omicron มีชื่อเสียงในด้านลบ ว่ามันแพร่ระบาดเป็นวงกว้างมาก ได้อย่างรวดเร็ว (ซึ่งก็น่าแปลกใจ เพราะก็ได้ยินข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่า มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ วงการนั้นวงการนี้ แต่ทำไมตัวเลขทางการกลับไม่ค่อยสูง)

เอาเป็นว่า อย่าเพิ่งประมาทกันครับทุกท่าน ผมยังคิดว่าเราจะต้องรับมือกับโควิด-โอมิครอนกันเต็มที่ต่อไป โดยเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้

แล้วหลังจากนั้น เมษายน-พฤษภาคมไปแล้ว ถ้าผ่านไปได้ด้วยดี รับมือกับโอมิครอนได้ดี (ด้วย 3 อาวุธสำคัญ คือชุดตรวจ ATK, การทำ home isolation และระดมฉีดวัคซีนทุกวัย) ก็เป็นไปได้ที่ประเทศไทยเราจะเริ่มเข้าสู่ end game เหมือนกับประเทศอื่นเขา เข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง จนเริ่มผ่อนคลายลดความกังวล ใช้ชีวิตกันเป็นปกติขึ้น

ขอแถมด้วย "9 ประเด็นสำคัญ" ที่ควรทราบ รับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด omicron

1. โอมิครอน ไม่ใช่วัคซีนเชื้อเป็น
แม้จะมีหลักฐานมากขึ้นแล้วว่า การที่เราติดเชื้อโควิดไวรัสสายพันธุ์ omicron นั้น จะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์ด้วย บวกกับการที่มันแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศหลายๆ คน บอกว่าโอมิครอนจะก่อให้เกิด natural immunity หรือภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า มันจะปลอดภัยที่จะไปรับเชื้อไวรัสเข้าร่างกายโดยตรง เหมือนกับเป็นวัคซีนเชื้อเป็น อย่างที่บางคนเข้าใจผิด

2. โอมิครอน ไม่ใช่ไม่รุนแรง แต่รุนแรงน้อยกว่าเดลตา
คือ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันแล้วว่า ความรุนแรงที่เชื้อโอมิครอนทำให้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้น น้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา แต่มีจุดสังเกตที่สำคัญคือ อาการที่ไม่ค่อยรุนแรงนั้น มักจะเป็นในกลุ่มที่ได้เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดเอาไว้ ส่วนผู้ที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีน และอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็ยังมีอันตรายจากเชื้อไวรัสโอมิครอน จนอาจถึงเสียชีวิตได้อยู่ดี

3. การระบาดระลอก 5 มาแน่
จริงๆ ทั้ง 9 ข้อนี้ มาจากที่ผมเคยบรรยายในรายการวิทยุไปตั้งแต่เมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ คือมีการระบาดของโรคโควิดเริ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม อันเกิดจากสายพันธุ์โอมิครอน ที่ระบาดในวงกว้างและเข้ามาแทนที่เดลตาได้อย่างรวดเร็ว

4. คาดว่าระลอก 5 คือ ก.พ. - มี.ค.
อันนี้ ก็เป็นการคาดการณ์ตั้งแต่เมื่อปลายปีก่อน โดยดูจากระยะของการแพร่ระบาดในแต่ละประเทศไล่ๆ กันมา นั่นก็คือ แอฟริกาใต้เริ่มในช่วงเดือนพฤศจิกายน สหราชอาณาจักรช่วงเดือนธันวาคม สหรัฐอเมริกาช่วงเดือนมกราคม ดังนั้นเอเชียรวมถึงไทย ก็น่าจะมาถึงช่วงกุมภาพันธ์ ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเริ่มการระบาดแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นพีกสูงเท่าไร จึงน่าจับตาดูว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างที่คาดไว้หรือเปล่า

5. ฉีดวัคซีนเด็ก 5-11 ปี เดือน ก.พ.
สถานการณ์การระบาดรอบนี้ที่น่าห่วงที่สุด ก็คือ กลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย ซึ่งก็จะเหลือแค่กลุ่มเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 12 ปีลงไป แม้จะไม่ค่อยมีอาการป่วยหนักรุนแรง แต่ก็มีอาการไม่สบายได้นะครับ และกว่าที่วัคซีนจะมาให้ฉีดได้นั้น ก็คงจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถ้ามีการระบาดในช่วงนี้จริงๆ ก็น่ากังวลว่าจะฉีดวัคซีนกันทันหรือเปล่า

6. วัคซีนต้องฉีดก่อนการระบาดเดือนครึ่ง
เป็นหนึ่งในเรื่องที่พบว่า คนจำนวนมากเลยเข้าใจผิด คือมองวัคซีนเหมือนยารักษาโรค ไประดมฉีดกันตอนที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสแล้ว ซึ่งมันจะไม่ทันท่วงที เพราะจริงๆ แล้วเราจำเป็นจะต้องฉีดให้ครบ 2 โดส และรออีกประมาณ 2 สัปดาห์ ร่างกายถึงจะสร้างภูมิคุ้มกันได้เต็มที่ ซึ่งนั่นคือนับรวมแล้วประมาณ 1 เดือนครึ่งทีเดียว ที่ควรจะฉีดก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิดเกิดขึ้น

7. วัคซีนสำหรับเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ ยังไม่มี
กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดในช่วงครึ่งปีนี้ ก็คือกลุ่มเด็กเล็กมาก ซึ่งยังไม่มีวัคซีนให้ฉีดเลย ในต่างประเทศมีรายงานของเด็กกลุ่มนี้ ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลมากขึ้นกว่าในการระบาดครั้งที่ผ่านๆ มา

8. คาดวัคซีนของอเมริกาสำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ออกราว เม.ย.
ล่าสุด มีวัคซีน mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ ซึ่งได้ใช้สูตรวัคซีนตัวเดียวกันกับของผู้ใหญ่ แต่ลดโดสลงมาเหลือ 1 ใน 10 ส่วน เอามาใช้กับเด็กเล็กมากได้ แต่ก็คงเดือนเมษายนไปแล้วจะเริ่มฉีดกัน และกว่าจะมาฉีดที่ประเทศไทย ก็คงครึ่งปีหลัง

9. คำแนะนำสำหรับเด็กเล็กคือ เก็บให้ดี คนรอบข้างเด็ก ต้องฉีดวัคซีนให้หมด
อันนี้ก็ขึ้นกับสถานการณ์การระบาด หากเกิดมีการระบาดเป็นอย่างหนักในประเทศไทยหรือในเขตจังหวัดไหน ก็คงจะต้องพยายามดูแลเด็กกลุ่มนี้ให้ดีเป็นพิเศษ เนื่องจากยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย และวิธีการที่ทำได้คือ ให้ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างทั้งหมด ฉีดวัคซีนป้องกันให้ครบถ้วนทุกคน เพื่อลูกหลานของเราเอง.

...

(ดูโพสต์ต้นฉบับ ที่นี่)

ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์