- เปิด 5 เรื่องที่หนุ่มๆ ต้องรู้เกี่ยวกับ "อวัยวะเพศชาย"
- "อวัยวะเพศไม่แข็งตัว" สามารถรักษาได้ด้วยการแก้ปัญหาทางจิตใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ย้ำให้หนุ่มๆ หมั่นดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศ เนื่องจากมีความสำคัญมากพอกับการดูแลอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย
แม้ว่าปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จะกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่ก็อาจจะมีหนุ่มๆ หลายคน ที่ยังไม่รู้บางเรื่องเกี่ยวกับอวัยวะเพศ (องคชาต) หรือที่เรียกให้ซอฟต์ๆ ว่า "น้องชาย" แม้จะเกิดมาพร้อมกัน ได้เจอกันอย่างสนิทสนมในทุกๆ วันก็ตาม
ดังนั้น การศึกษาเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่จะยิ่งช่วยทำให้หนุ่มๆ รู้ทันเมื่อเกิดสัญญาณเตือนอาการผิดปกติกับ "อวัยวะเพศ" อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความรู้ ความเข้าใจ ลดความเสี่ยงของการเข้าใจผิด และสามารถไปพบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
1. ผู้ชายทำหมัน แล้วเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ จริงหรือไม่?
อาจารย์นายแพทย์สุธี อุ้มปรีชา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมีประสบการณ์การทำหมันชายและเป็นคนไข้ทำหมันเองแล้วกว่า 30 ปี คลายข้อสงสัยในเรื่องนี้ว่า การทำผ่าตัดหมันชาย (vasectomy) ถือเป็นการคุมกำเนิดแบบถาวร โดยการตัดและผูกท่ออสุจิ 2 ข้าง หลังการทำยังมีการหลั่งน้ำอสุจิ การแข็งตัวของอวัยวะเพศ และความต้องการทางเพศเป็นปกติ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ลูกอัณฑะมีหน้าที่ 2 อย่างคือ สร้างอสุจิ และ ฮอร์โมนเพศชาย โดยอสุจิจะออกมาทางท่อน้ำเชื้อ ส่วนฮอร์โมนจะออกมาทางหลอดเลือด ซึ่งฮอร์โมนเพศชายจะมีผลต่อความต้องการทางเพศ แต่การทำหมัน แพทย์จะผูกและตัดเพียงท่อน้ำเชื้อ ไม่ได้ผูกหรือตัดหลอดเลือด ทำให้ฮอร์โมนยังออกจากอัณฑะได้ตามปกติ จึงไม่มีผลต่อเรื่องสมรรถภาพทางเพศอย่างแน่นอน
...
ขั้นตอนการทำหมันชาย
- เริ่มจากฉีดยาชาที่บริเวณถุงอัณฑะ (ซึ่งเข็มมีขนาดเล็กมาก) เจ็บประมาณมดกัด
- แพทย์จะใช้เครื่องมือ "ปลายแหลม" เจาะผ่านผิวหนังเข้าไป (จึงเรียกว่าหมันเจาะ)
- จากนั้นใช้เครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่มีลักษณะเป็นห่วงตรงปลาย สอดเข้าไปเพื่อดึงท่อน้ำเชื้อออกมา เพื่อทำการตัดและผูก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดหมันหลุด ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะเจ็บจุกๆ แต่ไม่นาน (ประมาณ 1–2 นาที)
- หลังทำไม่ต้องเย็บแผล (จึงไม่ต้องตัดไหม) โดยจะเป็นรอยแผลเล็กๆ ขนาด 0.5–1 ซม.
- ปัจจุบันมีการทำหมันแบบเจาะ ใช้เวลาในการทำผ่าตัดเพียง 15–20 นาที หลังทำสร็จสามารถกลับบ้านได้ ซึ่งเพียง 1-2 วันแผลก็จะหายเป็นปกติ
ทั้งนี้ สรุปว่าการทำหมันชายเป็นการผ่าตัดแผลขนาดเล็ก ไม่ต้องมีการเย็บแผล ใช้เวลาผ่าตัดไม่นาน หลังทำเสร็จไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และที่สำคัญ "ไม่มีผลต่อสมรรถภาพทางเพศ" คุณผู้ชายยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศ มีการหลั่งน้ำอสุจิและมีความต้องการทางเพศเป็นปกติ หลังทำหมันเสร็จ สามารถกลับบ้านได้เลย เพียง 1-2 วัน แผลก็จะหายเป็นปกติ
2. "ภาวะหลั่งเร็ว" มีสาเหตุมาจากอะไร?
สำหรับ "ภาวะหลั่งเร็ว" เป็นภาวะที่พบได้มากที่สุดในปัญหาทางเพศของผู้ชาย ในทางการแพทย์ได้นิยามภาวะหลั่งเร็วว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการคือ
1. เวลาในการหลั่งหลังสอดใส่เร็วกว่า 15 วินาที ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าผู้ชายปกติจะมีค่าเฉลี่ยของการหลั่ง 2-10 นาที
2. การหลั่งไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ ข้อนี้ใช้แยกภาวะปกติของผู้ชายบางคนที่บังคับให้มีการหลั่งเร็วได้ ในบางสภาวการณ์
3. ผู้ชายและ/หรือคู่นอนเกิดปัญหาจากภาวะนี้ เนื่องจากบางคู่ที่ฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอดเร็ว ก็จะไม่เกิดปัญหาจากภาวะนี้ของฝ่ายชาย
ส่วนสาเหตุของการหลั่งเร็ว เดิมเชื่อว่าเป็นจากภาวะทางจิตใจ เช่น ความตื่นเต้น, วิตกกังวล ปัจจุบันมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่ามีปัจจัยอื่นคือ ระบบประสาทรับรู้ความรู้สึกของอวัยวะเพศมีความไวต่อการสัมผัสผิดปกติ อาจเป็นที่เส้นประสาทที่มาเลี้ยงอวัยวะเพศ หรือภายในสมอง รวมทั้งสารนำระบบประสาทในสมองผิดปกติ
สำหรับการรักษา ภาวะหลั่งเร็วที่เกิดเป็นบางครั้ง พวกนี้มักมีสาเหตุ เช่น ความตื่นเต้น (คู่นอนใหม่), ยาหรือสารบางชนิด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ห่าง โดยกลุ่มดังกล่าวข้างต้นต้องแก้ไขที่สาเหตุ ในกลุ่มที่มีอาการทุกครั้งเป็นระยะเวลานานมีวิธีการรักษา ดังนี้
พฤติกรรมบำบัด
ถือเป็นวิธีที่ใช้กันมานานนับสิบปี ให้ผลการรักษาแตกต่างกันไป อาทิ
- การไม่รีบเร่งในการมีเพศสัมพันธ์ ใช้เวลาเล้าโลมให้นานขึ้น
- ผู้ชายมีการหลั่งก่อนมีเพศสัมพันธ์ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้การหลั่งครั้งต่อไปนานขึ้น
- Stop Pause Method คือพักการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่ง
- Stop Squeeze Method เมื่อรู้สึกว่าจะมีการหลั่งให้หยุดและบีบส่วนหัวอวัยวะเพศ เพื่อให้อวัยวะเพศอ่อนตัว พักแล้วจึงเริ่มใหม่
การใช้ยา
- ยาชาในรูปแบบสเปรย์ หรือ ครีม ทาอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยลดความรู้สึกของอวัยวะเพศได้
- การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า พบว่าทำให้มีการหลั่งช้าลงได้ มีทั้งกลุ่ม Tricyclic และกลุ่มยับยั้งการดูดซึมกลับของสาร Serotonin ในสมอง ทั้งนี้ควรได้รับการคำแนะนำการใช้และผลข้างเคียงของยานี้จากแพทย์
จิตบำบัด
จะใช้รักษาในผู้ป่วยรายที่มีปัญหาจากจิตใจ ซึ่งการรักษาภาวะหลั่งเร็วในปัจจุบัน แม้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ดีที่สุด แต่ก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้ โดยต้องอาศัยความพยายาม และความเข้าใจของทั้งฝ่ายชายและหญิง และไม่ควรอายที่จะปรึกษาแพทย์
3. "ขริบหนังหุ้มปลาย" จำเป็นแค่ไหน มีข้อดีอย่างไร?
การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย คือ การผ่าตัดเอาผิวหนังที่หุ้มปลายอวัยวะเพศชายออก ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทำกันทั่วโลก สำหรับเด็กผู้ชายแรกเกิดและสามารถทำได้ทุกวัย โดยปกติแล้วเด็กผู้ชายแรกเกิดหนังหุ้มปลายจะยังปิดอยู่ แต่จะมีรูเล็กๆ เปิดให้สามารถปัสสาวะได้ เมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้น จะสามารถรูดเปิดหนังหุ้มปลายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับ การขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จะช่วยให้ความสุขระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มากขึ้น จากการที่ไม่มีหนังหุ้มปิด ทำให้รับสัมผัสได้เต็มที่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่อง "หลั่งเร็ว" เพราะเชื่อว่าเมื่อหัวส่วนปลายอวัยวะเพศเปิด ก็จะเสียดสีกับสิ่งรอบๆ ตลอดเวลา ลดความไวต่อสัมผัส ลดความรู้สึก ทำให้หลั่งช้าลง
นอกจากนี้ การขริบอาจมีความจำเป็นทางการแพทย์ เช่น แก้ปัญหาหนังหุ้มปลายตีบตัน ซึ่งคือการรูดเปิดหนังหุ้มปลายไม่ได้, ลดการเกิดหนังหุ้มปลายอักเสบ ที่มักเกิดจากการรูดเปิดล้างได้ไม่ดี หรือมีโรคเบาหวานร่วมด้วย หรือสำหรับบางราย อาจแนะนำให้มีการขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมไปถึง HIV แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ถุงยางอนามัย ยังถือเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
ส่วนข้อดีของการขริบหนังหุ้มปลาย ยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งองคชาต, ลดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ ในกรณีที่หนังหุ้มปลายตีบแคบมากจนปัสสาวะลำบาก ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อ, ง่ายต่อการทำความสะอาดอวัยวะเพศ ลดการหมักหมมของเชื้อโรคและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ที่อาจทำให้มีปัญหากับคู่นอน, ป้องกันการเกิดหนังหุ้มปลายบีบรัด (paraphimosis) ที่มักพบหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองแล้วรูดหนังหุ้มปลายกลับไปปิด ทำให้เกิดการบีบรัด และมีอาการปวดบวมส่วนปลายของอวัยวะเพศ จนทำให้ต้องมาโรงพยาบาล
ทั้งนี้ การขริบปลายหนังหุ้มอวัยวะเพศชายแบบชิดหัวเป็นการผ่าตัดเล็ก เพื่อพยายามซ่อนรอยแผลเป็นให้ได้มากที่สุด โดยจะใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และใช้เพียงแค่ฉีดยาชาเท่านั้น คนไข้จึงไม่ต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนผ่าตัด แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องแจ้งแพทย์เรื่องโรคประจำตัว ยาประจำ หรือประวัติการแพ้ยา หลังผ่าตัดมักไม่มีการปวดแผลรุนแรง โดยเฉลี่ยในสัปดาห์แรกแผลจะเริ่มแห้ง สัปดาห์ที่ 2 แผลจะเริ่มตกสะเก็ด สัปดาห์ที่ 3 ไหมละลายหลุด ควรเริ่มมีเพศสัมพันธ์หลังผ่าตัด 3–4 สัปดาห์ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นบุคคล
4. "อวัยวะเพศไม่แข็งตัว" เกิดจากสาเหตุอะไร?
ปัญหา "นกเขาไม่ขัน" หรือ "ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศชาย" สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย และพบมากถึง 1 ใน 5 ของเพศชาย ทั้งนี้ยังมีมากถึงครึ่งหนึ่งในผู้ชายอายุระหว่าง 40-70 ปี รวมถึงพบว่าภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศชายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นอีกด้วย โดยสาเหตุภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศชาย เกิดจากอวัยวะเพศชายที่ไม่สามารถแข็งตัวได้ตามปกติ ส่วนใหญ่มาจากทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงปัจจัยเสริมอันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยจากโรคบางชนิด และนิสัยบางอย่าง โดยสาเหตุหลักแบ่งได้เป็น
สำหรับสาเหตุ "ด้านร่างกาย" เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพต่างๆ ของร่างกายและความต้องการทางเพศลดลง รวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักเกิน และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน เป็นต้น ทั้งนี้ยังอาจเกิดจากการใช้ยาบางชนิด และผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มเหล้าปริมาณมาก รวมถึงผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ
ส่วนสาเหตุ ด้านจิตใจ, ความเครียด, วิตกกังวล และ ภาวะซึมเศร้า เป็นสาเหตุทางใจที่ส่งผลกระทบต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชาย บางกรณีอาจเกิดจากปัญหาความสัมพันธ์ กระตุ้นให้อารมณ์ทางเพศเป็นไปในแง่ลบ ส่งผลให้อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัว
สำหรับ สัญญาณนกเขาไม่ขัน นอกจากอวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัว ยังรวมถึงภาวะอวัยวะเพศแข็งตัวได้ไม่นานพอที่จะมีเพศสัมพันธ์ และมีปัญหาการหลั่งน้ำอสุจิเร็วหรือช้าเกินไป หากพบว่าเป็นนานกว่า 2-3 สัปดาห์ จนเกิดความกังวลหรือไม่แน่ใจ ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษา โดยแพทย์จะทำการซักประวัติเบื้องต้น จากนั้นจึงตรวจร่างกายเพิ่มเติม, ตรวจเลือด, ตรวจปัสสาวะ, อัลตราซาวนด์ และตรวจการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
ส่วนการรักษาภาวะนกเขาไม่ขัน สามารถรักษาได้ด้วยแก้ปัญหาทางจิตใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานยา การผ่าตัด และใช้เครื่องมือ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรง และโรคประจำตัว โดยแพทย์จะพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ที่สุด ดังนี้
- รับประทานยา เพื่อขยายหลอดเลือดบริเวณอวัยวะเพศชาย ซึ่งแพทย์แนะนำไม่ควรซื้อยารับประทานเอง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและผู้สูงอายุ เนื่องจากยาเพิ่มสมรรถภาพทางเพศและขยายหลอดเลือดอาจมีผลข้างเคียงถึงชีวิต
- หากภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำเกินไป แพทย์อาจทำการรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนสังเคราะห์ เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้ปกติ
- อุปกรณ์สุญญากาศ ลักษณะเป็นกระบอกสูญญากาศ อุปกรณ์ที่แพทย์จะแนะนำในผู้ป่วยที่รักษาด้วยการใช้ยาไม่ได้ผล โดยนำกระบอกกลวงสวมที่อวัยวะเพศ ซึ่งมีทั้งแบบใช้ไฟฟ้าและใช้มือ เพื่อปั๊มให้อากาศออก ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวจนสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
- ผ่าตัดใส่แกนอวัยวะเพศเทียม ส่วนใหญ่แพทย์มักใช้เมื่อรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียง รวมถึงต้องทำการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะซึ่งมีความสามารถเฉพาะทางเท่านั้น บำบัดด้วยวิธี Sensate Focus ซึ่งต้องเข้าบำบัดพร้อมกับคู่ของตน
ทั้งนี้ การค้นหาสาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และแก้ปัญหาเบื้องต้น อาจช่วยให้นกเขากลับมาชูคอขันได้อีกครั้ง แต่หากไม่สามารถทำให้นกเขาขันได้อาจต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธีและปลอดภัยที่สุด ความต้องการทางเพศไม่ใช่เรื่องน่าอับอายหรือต้องปิดบัง การซื้อยารับประทานเอง หรือเชื่อข่าวลือสั่งยาออนไลน์ที่ขายสรรพคุณ โดยไม่รู้ส่วนผสมหรือผลข้างเคียงของยา อาจส่งผลให้นกเขาไม่สามารถกลับมาขันได้อีกเลย
5. โรคผิวหนังในที่ลับที่ควรรู้
สำหรับโรคผิวหนังในที่ลับ สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดหรือต้องอาย เพราะหากไม่รีบตรวจวินิจฉัยเพื่อทำการรักษา อาจส่งผลให้โรคลุกลามจนเจ็บมากขึ้น รักษายากขึ้น และเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้นหากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังต่างๆ ทางที่ดีควรเข้ามาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
- หูด (wart)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส มีลักษณะเป็นเนื้องอก มีสีชมพูหรือสีเนื้อ ผิวขรุขระ หากลุกลามมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจมีลักษณะคล้ายหงอนไก่ หรือ ดอกกะหล่ำได้
- หนองในแท้ (gonorrhea)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ในผู้ชายจะมีอาการปัสสาวะขัด, แสบ, มีหนองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ
- ซิฟิลิส (Syphilis)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อทรีโพนีมา แพลลิดัม ระยะแรก (Primary Syphilis) ลักษณะแผลจะตื้น ขอบเรียบสะอาด ไม่เจ็บ ขอบนูนแข็ง เรียกว่า แผลริมแข็ง (chancre) แผลมักจะเกิดหลังได้รับเชื้อ 10-90 วัน อาจพบแผลที่อวัยวะเพศและทวารหนัก
- แผลริมอ่อน (Chancroid)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียฮีโมฟิลุส ดูเครย์ โดยแผลมีลักษณะขอบไม่แข็ง ไม่เรียบ มีอาการเจ็บ บางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตได้
- หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)
เกิดจากเชื้อไวรัส ในผู้ใหญ่มักเป็นเฉพาะที่บริเวณอวัยวะเพศ ในเด็กอาจพบผื่นได้ทั่วตัว เช่น ข้อพับแขน-ขา และลำตัว แผลจะมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง และอาจมีตุ่มคล้ายมีสารสีขาวอยู่ภายใน บางครั้งจะมองเห็นเป็นจุดบุ๋มอยู่ตรงกลางได้
- เริม (Herpes Simplex)
เป็นโรคติดเชื้อไวรัส โดยจะพบเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำ แตกเป็นแผลตื้นๆ มักมีอาการเจ็บ ปวดแสบร้อน สามารถพบได้ทั้งที่อวัยวะเพศและริมฝึปาก โรคนี้สามารถเป็นซ้ำได้ ไม่หายขาด
- โรคติดเชื้อแคนดิดา (Candidiasis)
ลักษณะเป็นผื่นแดง คัน แฉะ ผิวหนังลอก ขอบเขตชัดเจน มักมีตุ่มแดงขนาดเล็กๆ หรือตุ่มหนองกระจายอยู่ที่บริเวณขอบๆ ของผื่น มักพบบริเวณซอกพับต่างๆ เช่น ขาหนีบ รักแร้ ถ้าเกิดบริเวณปลายอวัยวะเพศชายอาจพบลักษณะเป็นตุ่มหนองได้
สุดท้ายนี้ แนะนำให้หนุ่มๆ หมั่นดูแลสุขอนามัยของอวัยวะเพศชาย ไม่ให้เกิดอาการคันและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื่องจากการดูแลทำความสะอาดอวัยวะเพศนั้น มีความสำคัญมากพอกับการดูแลอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัยพื้นที่สงวนของตน เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้.
ผู้เขียน : กนก โฆษกสุขภาพ
กราฟิก : CHONTICHA PINIJROB