เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ทำให้ประชาชนสงสัยคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล จะเดินหน้าด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา หรือจะมีการเล่นซิกแซ็กช่วยเหลือกันหรือไม่ บางคนวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะว่า อดีต ผกก.โจ้กับพรรคพวกรวม 7 นาย อาจไม่โดนข้อหาฆ่าคนตายโดย เจตนา และในที่สุดอาจถูกจำคุกแค่ 2 ปี
แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คงไม่มีใครกล้าช่วยเหลือ “อดีต ผกก.โจ้” อย่างโจ๋งครึ่มถึงขนาดนั้น แม้จะมีทางช่วยเหลือ โดยใช้การตีความกฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่เชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) คงจะไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำให้ตกตํ่ายิ่งไปกว่านี้ ด้วยการทำให้ “คดีถุงดำคลุมหัว” กลายเป็น “คดีปี๊บคลุมหัว”
จากการติดตามข่าวในขณะนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความคืบหน้าไปด้วยดี มีการเปลี่ยนสาเหตุของการเสียชีวิตของนายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหายาเสพติดที่ถูกถุงคลุมหัวเสียชีวิต จากสาเหตุเดิมคือ “สารพิษ” มาเป็นตายเพราะ “ขาดอากาศหายใจ” เนื่องจากหัวถูกคลุมด้วยถุงดำถึง 6 ชั้น หายใจไม่ออกนาน 6 นาที
หากยังยืนยันว่าผู้ต้องหาเสียชีวิต เพราะ “สารพิษ” อาจทำให้อดีต ผกก.โจ้รอดตัว เพราะไม่ได้เป็นผู้บังคับให้กินสารพิษ แต่เป็นการกระทำของผู้ต้องหาเอง แต่เมื่อยืนยันว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ ความสงสัยก็จะพุ่งไปที่ตำรวจ อาจโดนข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา อาจไม่ใช่เจตนาฆ่า แต่รู้ว่าผู้ต้องหาอาจตายได้
ความคืบหน้าอีกด้านหนึ่ง คือการที่ สตช.มอบให้ตำรวจกองปราบปรามเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินคดี และกองปราบปรามก็ประกาศทันที จะแยกคดี พ.ต.อ.โจ้กับพวกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือการสอบสวนด้วยวิธีพิสดาร ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาจนถึงแก่ความตาย ส่วนที่สอง คือทรัพย์สินของ พ.ต.อ.โจ้
...
คดีนี้อาจทำให้คนส่วนใหญ่ตกตะลึง สงสัยว่า พ.ต.อ.โจ้มีฐานะรํ่ารวยระดับมหาเศรษฐีได้อย่างไร เพราะเงินเดือนเพียง 4 หมื่นกว่าบาท รวมทั้งเงินประจำตำแหน่งไม่เกิน 7 หมื่นบาท แต่มีรถหรูไม่รู้กี่สิบคัน ราคาหลายร้อยล้านบาท และ มีคฤหาสน์ใน กทม. 2 หลัง ตั้งในพื้นที่ 5 ไร่ รํ่ารวยผิดปกติหรือไม่
เป็นอำนาจหน้าที่ของ สตช.จะต้องทำความจริงให้ปรากฏด้วยการตรวจสอบและเปิดเผยต่อประชาชน น่าสงสัยว่ากฎหมาย ป.ป.ช.จะไม่บังคับให้นายตำรวจยศ พ.ต.อ. ตำแหน่งผู้กำกับการให้ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ แม้จะเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจที่จะแสวงหาความรํ่ารวยโดยทุจริตได้.