สภาเภสัชกรรมออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเร่งการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในไทย สนองตอบความต้องการ การรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด เดือนละประมาณ 30 ล้านเม็ด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาเภสัชกรรมได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง การผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการเร่งการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในไทย เพื่อสนองตอบความต้องการของการรักษาชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ถึงเดือนละประมาณ 30 ล้านเม็ด
นโยบายที่เร่งด่วน คือ การปรับขั้นตอนการอนุมัตินํายาออกสู่ตลาดของสํานักงานคณะกรรมมการอาหารและยา ให้ทําคู่ขนานไปกับการกระจายยาสู่ตลาด เพื่อให้สามารถเร่งยาออกสู่ตลาดเร็วขึ้น, ในสถานการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วน เร่งรัดให้มีการผลิตยาทั้งหมดภายในประเทศ แทนการนําเข้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยา โดยให้องค์การเภสัชกรรมจ้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศที่มีศักยภาพในการผลิต ช่วยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมที่ได้ขึ้นทะเบียนตํารับยาแล้ว เพื่อให้ได้เดือนละ 30 ล้านเม็ด หรือถ้าองค์การเภสัชกรรมจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดเอง เดือนละ 30 ล้านเม็ด ซึ่งจะกระทบกําลังการผลิตยาจําเป็นอื่นๆ องค์การฯ จึงควรมีแผนการในการผลิตและประกาศรายการยาที่จะให้โรงงานอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศช่วยผลิตยาจําเป็นอื่นๆ ทดแทน เพื่อป้องกันการขาดยาจําเป็นรายการอื่น
ทั้งนี้จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดที่มีความรุนแรงมากขึ้น ถ้ามีผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่วันละสองหมื่นคน ซึ่งต้องใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ 50-70 เม็ดต่อคน จึงต้องการยาประมาณ 1 ล้านเม็ดต่อวัน หรือ 30 ล้านเม็ดต่อเดือน และความต้องการจะเพิ่มขึ้น ถ้าประเทศยังไม่สามารถคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาความตึงตัวของปริมาณยาในประเทศ ทําให้ต้องทยอยกระจายยาให้ผู้ป่วย
ดังนั้น รัฐบาลจําเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการสํารองยา และเมื่อองค์การเภสัชกรรมได้ทําการวิจัยและพัฒนาจนสามารถผลิตยานี้ได้ และได้ผ่านขั้นตอนการขึ้นทะเบียนตํารับยาแล้ว รัฐบาลควรกําหนดนโยบายเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยา เร่งรัดการผลิตยาทั้งหมดภายในประเทศทดแทนการนําเข้า ทําให้สามารถลดค่าใช้จ่ายการนําเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ที่มีราคาค่อนข้างสูงได้ส่วนหนึ่ง ทําให้เกิดการสร้างงานและแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วย
ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมเตรียมการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir 200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) ซึ่งเบื้องต้นกําลังการผลิตจะผลิตได้ประมาณ 2-4 ล้านเม็ดต่อเดือน ที่โรงงานผลิตยาถนนพระราม 5 โดยมีแผนจะขยายกําลังการผลิตไปยังโรงงานผลิตยาที่จังหวัดปทุมธานี คงต้องใช้เวลาอีกนานพอควร ซึ่งจะไม่ทันสถานการณ์ และไม่สามารถรองรับความต้องการภายในประเทศได้ทั้งหมด
ในช่วงนี้ที่มีความจําเป็นในการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์จํานวนมากอย่างเร่งด่วน องค์การเภสัชกรรมสามารถจ้างให้โรงงานผลิตยาในประเทศที่มีศักยภาพช่วยผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมไปพร้อมกัน การที่จะรอให้โรงงานอื่นๆ ทําการวิจัยและขึ้นทะเบียนตํารับยาเพื่อผลิตยาฟาร์วิพิราเวียร์ของตนเอง ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 เดือน ถึง 9 ปี ทําให้ไม่ได้ใช้ศักยภาพของอุตสาหกรรมยาที่มีในประเทศให้เป็นประโยชน์
ดังนั้น สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบประกาศนโยบาย 2 เรื่อง ในสถานการณ์ฉุกเฉินและเร่งด่วนจากการระบาดของโควิด เพื่อจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยานี้ได้แล้ว คือ 1.ปรับขั้นตอนการอนุมัตินํายาออกสู่ตลาดของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยทําคู่ขนานไปกับการกระจายยาสู่ตลาด และ 2.สนับสนุนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดภายในประเทศ ทดแทนการนําเข้า ทําให้เกิดความมั่นคงทางยา
...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฟซบุ๊กเพจ "โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์" ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จำนวนผู้ป่วยรายวันที่จะแตะสองหมื่นคนต่อวัน และมีแนวโน้มว่าจะอยู่แถวๆ นี้ไปอีกอย่างน้อยหนึ่งหรือสองสัปดาห์ ทำให้จำเป็นต้องคิดและกำหนดแผนการอะไรบางอย่างในระดับประเทศ
เมื่อวันก่อน สภาเภสัชกรรมออกแถลงการณ์เตือนมาแล้วว่า ต่อให้องค์การเภสัชกรรมของเราจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้เองแล้ว แต่ในหลายเดือนจากนี้ไปศักยภาพการผลิตของเราจะอยู่ที่เดือนละ 2-3 ล้านเม็ด และหากผู้ป่วยใหม่อยู่ในระดับนี้ และมีนโยบายให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาอย่างเร็วตามที่ สธ.กำหนด เราจะต้องใช้ยาถึงวันละหนึ่งล้านเม็ด และภายในสัปดาห์หน้าประเทศจะขาดยาฟาวิพิราเวียร์อย่างแน่นอน
ถ้าหากรัฐบาลไม่เร่งดำเนินการให้โรงงานผลิตยาของเอกชนที่มีมาตรฐานสูงในระดับเดียวกันเข้ามาช่วยผลิตยาเพิ่มจากที่องค์การเภสัชกรรมทำอยู่ คำเตือนของสภาวิชาชีพเภสัชกรรมนี้ เป็นการประเมินความต้องการใช้ยาของประเทศที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะยาฟาวิพิราเวียร์เป็นยาต้านไวรัสชนิดเดียวที่มีใช้อยู่ในประเทศ ที่ใช้กับผู้ป่วยโควิด ทุกๆ เม็ดในทุกๆ โรงพยาบาล ถูกสั่งจ่ายออกไปโดยสมาชิกของสภาวิชาชีพนี้ทั้งสิ้น
เราหวังว่ารัฐบาลจะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างรวดเร็วที่สุด และการตัดสินใจว่าจะไม่ตัดสินใจ ก็จะต้องมีคำอธิบายที่ดีสำหรับประชาชนด้วย เพราะถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ประมาณกลางเดือนสิงหาคม อีกสักสองสัปดาห์ เราก็จะได้ยินเพิ่มว่า นอกจากวัคซีนขาด เตียงขาดแล้ว ยารักษาโควิดยังขาดอีกด้วย
ที่น่าเศร้าก็คือ เรื่องนี้จะเกิดขึ้นในประเทศที่เคยถูกยกย่องว่า มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว.

