สรุปประเด็นร้อน บันทึกการประชุมเกี่ยวกับวัคซีนไฟเซอร์ วิจารณ์หนัก หลังพบคอมเมนต์ค้านไฟเซอร์ เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ กลัวคนโยงซิโนแวค ป้องกันไม่ได้

กลายเป็นประเด็นร้อน ตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เกี่ยวกับกรณี เอกสารบันทึกการประชุมเฉพาะกิจเกี่ยวกับวัคซีนไฟเซอร์ ที่มีการประชุมกัน ที่กรมควบคุมโรค ซึ่งในรายงานอ้างอิงว่า เป็นการประชุมร่วมกันของ คณะกรรมการวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558, คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทำงานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา 

โดยสาระสำคัญของการประชุม เป็นการขอความเห็น สำหรับแนวทางการจัดหา และฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ให้แก่บุคคล 3 กลุ่ม คือ บุคคลอายุระหว่าง 12-18 ปี, กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และ บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งเป็นการฉีด เข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ ได้มีการบันทึก ความคิดเห็นของผู้ที่เข้าร่วมการประชุม ไม่ว่าจะเป็น การเสนอให้ Boost เข็มสามให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า, ควรมียุทธศาสตร์ในการสื่อสาร และเป้าหมายที่ชัดเจน, ควรเริ่มที่ กทม. เหมาะสุด เพราะ cold chain มีปัญหา

แต่ที่ดูจะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างคือ คอมเมนต์ในข้อ 10 ที่ระบุว่า "ถ้านำมาฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ อาจถือเป็นการยอมรับว่า วัคซีนซิโนแวค ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น"

...

 

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารดังกล่าวที่หลุดออกมา ยังระบุถึง มติที่ประชุม แนวทางการใช้วัคซีนไฟเซอร์ในเดือน ก.ค. - ส.ค. 64 โดยเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับระยะแรก จำนวน 1.5 ล้านโดส เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ทั้งหมดแก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง ซึ่งในขณะนี้ คือ กทม. และปริมณฑล เพื่อลดการป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต

นอกจากนี้ ควรเตรียมการด้านบุคลากรทางการแพทย์ สถานที่ฉีด และอุปกรณ์ในการฉีดที่เหมาะสมด้วย

ซึ่งหลังจากที่เรื่องนี้ถูกแชร์ออกไปในวงกว้าง พบว่า กระแสในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะทวิตเตอร์มีการติดแฮชแท็ก #ฉีดPfizerให้บุคลากรการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับบุคลากรด้านหน้าก่อน เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ต้องทำงานร่วมกับผู้ป่วยโควิด ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด ซึ่งหากคนกลุ่มนี้ ไม่มีภูมิต้านทาน หรือติดโควิด และต้องถูกกักตัว ก็จะทำให้ไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ ในการที่จะมีรักษา หรือดูแลผู้ป่วยที่รอการช่วยเหลืออยู่ และอาจจะกระทบกับระบบสาธารณสุขด้วย 

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ได้ยอมรับว่า เอกสารดังกล่าวเป็นของจริง ที่มีการประชุมร่วมกันของทีมแพทย์ คณะกรรมการวิชาการ ซึ่งเป็นจิตอาสาที่เข้ามาร่วมประชุมด้วย ซึ่งไม่ควรที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร โดยหลังจากนั้นต้องมีอีกหลายขั้นตอน ซึ่งยังไม่ได้ตกลงกันว่าจะเป็นไปในแนวทางไหน

ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ จะได้วัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มที่สามได้ หรือไม่นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ทุกอย่างเป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ช่วงนั้นๆ ซึ่งตอนที่รัฐบาลเร่งเจรจากับไฟเซอร์ เราเน้นการฉีดให้กับเยาวชน อายุ 12 ปีขึ้นไป เพราะตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนยี่ห้อไหนที่ฉีดให้เด็กต่ำกว่าอายุ 18 ปีได้ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน ซึ่งเราทำสัญญาสั่งจองไป 20 ล้านโดส ส่วนที่เหลือก็จะนำไปฉีดให้คนที่เข้าข่ายเสี่ยง และมีข้อจำกัดในการรับวัคซีนเชื้อตาย หรือไวรัลเวคเตอร์ ซึ่งจุดประสงค์ที่สำคัญคือ ไทยก็จะมีวัคซีนทุกประเภท มาเฉลี่ยให้กับคนที่เหมาะกับวัคซีนชนิดนั้นๆ มากที่สุด ตามความเห็นของแพทย์ ซึ่งเงื่อนไขการรับวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ นั้น มีแค่การไม่นำไปขายต่อเท่านั้น

ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุไม่มีเอกสารหลุด เพราะไม่ใช่เอกสารจริง ขออย่าส่งต่อ ปมเอกสารประชุมวิชาการ 3 ฝ่าย อ้างไม่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คาดว่าจะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง.