- เจ้าของเพจ "ตามติดชีวิตอินเดีย" เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตคนเดียว 5 ปีที่อินเดีย
- เปิดมุมน่ารักของ "คนอินเดีย" ที่หลายคนไม่เคยรู้
- เล่าเรื่องที่จำไม่ลืม เคยโดนคนอินเดียมาจีบด้วยการสะกดรอยตามจนหลอน
เมื่อพูดถึงการไปศึกษาต่อในต่างประเทศ คงเป็นความฝันของใครหลายคนที่จะมีโอกาสเดินทางไปเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม และประสบการณ์จากสถานที่จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสนั้น โดยเฉพาะช่วงนี้ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส "โควิด-19" ส่งผลกระทบต่อทั่วโลก อาจทำให้ความฝันของหลายคนต้องชะลอลงไปก่อน
แต่เมื่อโอกาสยังมาไม่ถึง สิ่งที่เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ดีที่สุดคือ การฟังประสบการณ์จากคนที่ได้ไปเรียนต่างประเทศมาจริงๆ ทั้งเคยเผชิญชีวิตในต่างแดน แล้วต้องใช้ชีวิตคนเดียวให้รอดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เพื่อเป็นแนวทางในอนาคต
คุณขิม พัทธมญส์ กาญจนพันธุ์ เจ้าของเพจ "ตามติดชีวิตอินเดีย" ที่มีคนติดตามกว่า 3 แสนคน เล่าประสบการณ์ระหว่างไปเรียนที่ประเทศอินเดียให้ "กนก" ฟังว่า เหตุผลที่ตัดสินใจไปเรียนที่อินเดีย เนื่องจากช่วงที่เรียนจบในปี 2014 เริ่มทำงานประจำได้ประมาณ 7 เดือนแล้วรู้สึกเบื่อ ด้วยความที่เจ้านายเป็นคนต่างชาติ แล้วเราไม่สามารถสื่อสารอะไรด้วยกันได้ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษ ประกอบกับช่วงนั้น เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กไปเรียนต่อที่เมืองนอกกันเยอะ ทำให้เราอยากไปบ้าง แต่ประเด็นคือเงินไม่พอ ไปได้แค่ประเทศอินเดีย
...
ตอนแรกตั้งใจไปเรียนภาษาที่อินเดียแค่ 3 เดือน แต่อยู่สักพักก็เริ่มติดใจ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท ตอนแรกเรียนอยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยบังกาลอร์ แต่พอเรียนไป 1 เทอม รู้สึกไม่ชอบในสาขาที่เรียน เลยย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยไมซอร์ ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง คราวนี้อยู่นานถึง 5 ปี
ส่วนเหตุผลที่ทำเพจ ตามติดชีวิตอินเดีย เริ่มจากช่วงตอนเรียน ไม่ค่อยมีคนรู้มุมต่างๆ ของประเทศอินเดียเท่าไรนัก ดูใหม่สำหรับคนอื่นมากๆ ทุกวันเวลาเราเจออะไร ก็จะมาเล่าอัปเดตในเฟซบุ๊กส่วนตัว จนมีคนมารออ่านทุกวัน เพื่อนเลยยุให้เปิดเพจเพื่อเล่าแต่เรื่องของ "อินเดีย" ซึ่งตนก็ไม่ได้มีพื้นฐานการเขียนมาก่อน เน้นใส่อารมณ์ในการเล่าเพื่อให้คนอื่นเห็นภาพตาม ซึ่งคิดว่าที่คนชอบ เพราะเขียนเข้าใจง่าย ไม่ประดิษฐ์คำ ไม่ต้องตีความอะไร พอทำไปสักพักก็เริ่มรู้สึกสนุก เจอเรื่องอะไรก็จะคิดว่าเก็บไปเล่าในเพจดีกว่า
ความรู้สึกแรกที่จะต้องไปเรียนที่ประเทศอินเดีย คือ กลัว
เมื่อก่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศอินเดียเลย เคยดูแต่หนังตลก แล้วรู้สึกว่าคนอินเดียตลกมาก จนอยากรู้ว่าเขาตลกแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า แต่อีกใจก็กลัว เพราะเจอข่าวข่มขืน บางรายโยนทิ้งจากรถเมล์ ทำให้ตอนนั้นรู้สึกว่าคนอินเดียต้องมี 2 แบบ ถ้าไม่ตลกแบบในหนังในซีรีส์ ก็เป็นโจรข่มขืน ในใจมีทั้งความตื่นเต้น และความกลัว
จากสิ่งที่คิดไว้ พอได้ไปสัมผัสจริงๆ ผิดคาดเยอะมาก ภาพในหัวตอนแรกคิดว่าอาจจะกันดาร เจอดินลูกรัง ไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ในห้อง แต่ความจริงกลับมีร้านค้ามากมาย ทั้งไอศกรีม พิซซ่า แมคโดนัลด์ แค่เมืองเขาไม่เจริญเท่าเรา เปรียบเทียบเหมือนกรุงเทพฯ เมื่อ 10 ปีก่อน
ความแตกต่างระหว่างไทยกับอินเดีย
รู้สึกต่างกันที่วัฒนธรรมกับคน การเข้าถึงสาธารณูปโภคต่างๆ ที่คนอินเดียยังเข้าไม่ถึง การเรียนการสอน บางคนไม่เคยได้เรียนหนังสือ ไม่รู้หลักการพื้นฐานคืออะไร บางคนสร้างบ้านแต่ไม่มีห้องน้ำ ต้องทำธุระส่วนตัวริมถนน อาบน้ำตามก๊อกสาธารณะ เจริญเป็นบางจุดและกันดารบางแห่ง
ส่วนอีกเรื่องที่ต่างกันมาก คือ การเข้าหาคน ถ้าเป็นคนไทยเวลาเจอชาวต่างชาติจะเฉยๆ มีมองเล็กน้อย แต่อินเดียคือ ไม่มีการแอบมอง เขาจะเดินเข้ามามองจ้องหน้าเราใกล้ๆ เลยด้วยซ้ำ แล้วถามเลยว่ามาจากที่ไหน บางทีอ่านหนังสือ หรือนั่งทำงานอยู่ เขาจะถามว่าทำอะไร เหมือนทุกคนคือเพื่อนกัน อยากคุยกับใครก็ได้ บางครั้งมันอาจดูน่ากลัว แต่ก็ตลกดี
ทำไมหลายคนถึงกลัวประเทศอินเดีย
น่าจะมาจากข่าวที่ถูกนำเสนอให้อินเดียดูน่ากลัว คนเลยติดภาพแบบนั้น จริงๆ มีหลายมุม ส่วนตัวคิดว่ามุมที่มีเยอะกว่า คือ มุมตลก ส่วนมากพวกเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน
มุมน่ารักของคนอินเดียที่คนอื่นไม่รู้
- คนอินเดียมีน้ำใจมาก ถ้าเราเดินริมถนน จะมีคนถามตลอดว่าไปไหน ไปส่งไหม เขาไม่ได้จะลักพาตัว แต่จะไปส่งจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาทำอะไรไม่ดี แต่เวลามาเล่าให้คนไทยฟังมักพูดเหมือนกันว่า น่ากลัว อันตรายมาก แต่คือที่อินเดียถือเป็นเรื่องปกติมาก บางทีเราขับรถอยู่ก็มีคนโบกขอไปด้วย เราก็ให้ไป เหมือนเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา
- คนอินเดียโกรธง่ายหายเร็ว พวกเขาจะชอบโวยวายแต่ไม่ได้โกรธ เคยขับรถไปชนคนบนถนน เขาจะโวยวาย แต่พอพูดเสร็จ ก็บอกไปละนะ แล้วแยกย้ายกันไป ไม่มีการเรียกประกัน คือลงมาโวยวายให้สบายใจเฉยๆ แล้วก็แยก
- ตอนแรกเราคิดว่าคนส่วนใหญ่ชอบขี้โกง แต่สาเหตุที่โกงเพราะไม่มี พวกเขาจะคิดว่าเรามี โกงเราก็ไม่เสียหายอะไร เราไม่ได้เดือดร้อน แต่เมื่อไรที่รู้ว่าการโกงของเขาทำให้เราเดือดร้อน เขาก็จะคืนเงินให้ เหมือนเขาจะนิสัยไม่ดี แต่ลึกๆ คือไม่ได้ตั้งใจจะทำ เหมือนโกงเล่นๆ สนุกๆ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ส่วนเรื่องที่จำไม่ลืมคือ เคยโดนคนอินเดียมาจีบ และสะกดรอยตาม ตอนนั้นเราเลี้ยงสุนัขเลยมักจะชอบพาไปเดินตามสวนสาธารณะ พอเขาเห็นเราเดินกับสุนัข ก็แอบตามจนรู้ว่าบ้านเราอยู่ไหน ขับรถมาจอดหน้าบ้านเราทุกวัน วันไหนที่เราออกจากบ้านไปเรียน เขาก็จะทำเป็นขับรถผ่าน บีบแตรให้ 1 ครั้ง แล้วบ๊ายบาย จนวันหนึ่งเขาเดินเข้ามาถามเรื่องสุนัข ว่าฝึกที่ไหน ก็เลยตอบไปว่าฝึกกับครูฝึก เขาเลยขอเบอร์ครูฝึก แต่เราลืมเอามือถือมา เลยให้เบอร์เราไปก่อน ถึงบ้านจะไลน์ส่งไปให้
หลังจากนั้นเขาก็ทักมาตลอด เช้า กลางวัน เย็น แต่ไม่ได้คุยเรื่องครูฝึก ได้รับข้อความจากคนนี้หลายเดือน แถมชอบสะกดรอยตาม มีครั้งหนึ่งไปเจอกันที่ร้านขายไก่ หลังจากนั้น เขาส่งข้อความ Give me chicken มาหาแทบทุกวัน เป็นเวลา 4 เดือน จนทนไม่ไหว ต้องถามว่า มันหมายความว่าอะไร สรุปคือ เขาต้องการให้ทำอาหารเกี่ยวกับไก่ทอดให้ทานหน่อย เป็นการจีบที่แปลกมาก ตอนแรกเรากลัว ด้วยความที่เขาตามเราไปทุกที่ ทำให้หลอน แต่พอตอนหลังมารู้ว่าเป็นคนละแวกนั้น มีงานทำ แค่เขาไม่รู้ว่าจะจีบเราอย่างไร
สิ่งที่ได้หลังจากไปอยู่ที่อินเดีย
ที่เห็นได้ชัดคือ ความอดทน และเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะที่อินเดียไม่มีตรรกะอะไรเลย อย่างการไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ไม่มีการบอกข้อมูล ไม่บอกเรื่องเปิดเทอม-ปิดเทอม เราต้องสนใจเองอยู่ตลอด เพราะไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ จึงต้องอดทนมากๆ ทำให้นิสัยเปลี่ยนไป และเป็นคนเข้มแข็งขึ้น เหมือนต้องไปต่อสู้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เราต้องการ
แม้ว่าจะอยู่ที่อินเดียมา 5 ปี แต่เราก็ได้ภาษาเขามาไม่เยอะ ได้เป็นคำๆ เช่น คำว่า ใช่, ไม่ เพราะก่อนไปภาษาอังกฤษแย่มาก เลยตั้งใจไปรับความรู้แค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว ถ้าต้องให้คะแนนตัวเองก็ดีขึ้นเยอะ เมื่อเทียบกับตัวเองเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว เหมือนคนละคน ตอนแรกแค่พูดสั่งข้าวยังทำไม่ได้ ตอนนี้สามารถอ่านออกเขียนได้
ล่าสุด ได้คุยอัปเดตสถานการณ์โควิด-19 กับเพื่อนที่อินเดีย ทราบมาว่าเหตุการณ์รุนแรงมาก ติดเชื้อแล้วหลายล้านคน เพราะถึงแม้จะใส่หน้ากาก แต่เพราะอินเดียมีประชากรเยอะมาก ไปที่ไหนก็แออัด เนื่องจากคนชนชั้นล่างไม่มีการคุมกำเนิด จากที่เราเรียนมา คนอินเดียมีประมาณ 1,300,000 ล้านคน 70% คือคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือ มีแค่ 30% ที่ได้เรียน ได้รู้ภาษา ได้รู้การปฏิบัติตัว ทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำมากๆ
สุดท้าย อยากฝากถึงคนที่อยากไปเที่ยวอินเดียหลังโควิดหมด คือจริงๆ คนไทยหลายคนติดภาพจำมาว่า คนอินเดียโหด ตัวเหม็น ขี้โกง แต่จริงๆ แล้วมีด้านอื่นอีกเยอะ ทั้งความสนุก ความฉลาด และเรื่องน้ำใจที่มีมาให้ตลอด เป็นประเทศที่ถ้าไปคนเดียวก็ยังได้ แต่เวลาเดินทางไปควรศึกษาสถานที่นั้นๆ ให้ดี แม้คนอินเดียไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานที่และช่วงเวลา ถ้าเป็นผู้หญิงไม่ควรไปไหนคนเดียวเวลากลางคืน เพื่อความปลอดภัยในชีวิต.
ผู้เขียน : กนก ถกคนดัง
กราฟิก : Supassara Traiyansuwan