เล่ากันอีกกี่ครั้ง ก็ยังต้องเล่าอีก สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นสมัยที่พยายามห้ามปากคนไม่ให้พูด ห้ามไม่ให้คนเขียนหนังสือวิจารณ์การเมือง และเมื่อห้ามไม่ได้ดังใจ ก็สั่งให้เผาหนังสือ
พิชิตหกแคว้นได้ แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ จะต้องปกครอง หกแคว้นให้อยู่ในกำมือ เขาสั่งทำลายกำแพงเมืองทุกแคว้น ควบคุมอาวุธเด็ดขาด นี่เป็นมาตรการทางทหาร
ด้านการปกครอง กำหนดให้เพลารถม้าทุกคันต้องเท่ากัน ให้ใช้ตัวหนังสือแบบเดียวกัน
แต่ที่สะดุดใจปัญญาชน คือการแบ่งการปกครอง เป็นแบบอำเภอ จังหวัด ที่เรียกว่าแบบจวิ้นเซี่ยน
213 ปีก่อน ค.ศ. ฉุนอวี๋เยว่ บัณฑิตสำนักหรูเจีย ศิษย์ขงจื๊อ วิจารณ์ว่าการแบ่งเขตแบบจวิ้นเซี่ยน มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ทั้งไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เขาเสนอว่า ควรใช้การปกครองแบบราชวงศ์โจว ตะวันตก
ความจริงข้อวิจารณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่อัครมหาเสนาบดีหลี่ซือ มองว่าเป็นเจตนาร้าย ยุแยงให้ราษฎรกระด้างกระเดื่อง จึงกราบทูลจิ๋นซีฮ่องเต้ว่า บัณฑิตศิษย์ขงจื๊อ ดีแต่ปาก ไม่เคยทำอะไรได้ถูก
แล้วเสนอให้ถอนรากถอนโคน ด้วยการยึดหนังสือสำนักนี้ มาเผา
จิ๋นซีฮ่องเต้เชื่อหลี่ซือ สั่งยึดตำราเป็นของหลวง เหลือแต่ตำรากฎหมาย การแพทย์ ตำราเพาะปลูก และตำราโหราศาสตร์ ห้ามราษฎร ลักลอบมีหนังสือไว้ในครอบครองเด็ดขาด
213 ปีก่อน ค.ศ. ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ฮ่องเต้สั่งเผาหนังสือ และประวัติศาสตร์ของทุกแคว้น ยกเว้นประวัติศาสตร์แคว้นฉิน
30 วันหลังคำสั่ง ยังไม่ทำตามให้ลงโทษด้วยการเกณฑ์แรงงาน ผู้ใดเขียนบทความวิจารณ์ หรือแต่งบทกวีเสียดสีให้ลงโทษประหาร
ผู้ใดยกประวัติศาสตร์ มาติเตียนราชสำนัก ให้ประหารทั้งตระกูล
...
ขุนนางผู้ใด รู้เห็นแต่ไม่เอาผิด ให้จับตัวมาลงโทษ
แม้เผาหนังสือไปแล้ว แต่ความรู้ยังอยู่ ราษฎรผู้รู้หนังสือยังคงอยู่ หนึ่งปีต่อมามีข่าวว่าผู้รู้หนังสือกลุ่มหนึ่ง แอบนินทาว่า สีหน้าจิ๋นซีฮ่องเต้ไม่ปกติ การปกครองที่กดขี่อย่างนี้ สักวันหนึ่งก็จะล่มสลาย
ฮ่องเต้ได้ยินข่าว สั่งเรียกบัณฑิตสำนักหรู แห่งเมืองเสียนหยาง 400 คน มารวมตัวกัน แล้วให้คุมตัวไปฝังทั้งเป็น
เผาหนังสือแล้ว ฝังทั้งเป็นบัณฑิตสำนักหรูแล้ว สุ้มเสียงจากผู้รู้ก็ดูจะเงียบลง แต่ความคับแค้นราษฎรเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หลังจิ๋นซีฮ่องเต้สวรรคตเพียงสองปี หลิวปัง และเซี่ยงอวี่ ฯลฯ ก็นำกำลัง ลุกขึ้นสู้
ในที่สุดก็ทำลายราชวงศ์ฉินลงได้
จางเจี๋ย กวีสมัยปลายราชวงศ์ถัง เขียนบทกวีชื่อ “เตาเผาหนังสือ” มีผู้คนจดจำและกล่าวขานต่อๆกันมา
“ขี้เถ้าเตาเผา ยังไม่เย็นลง ซานตงก็ระส่ำระสาย หลิวเซี่ยง หาใช่บัณฑิตไม่”
จางเจี๋ยจงใจสรุปบทเรียนการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน เตือนผู้ปกครองที่อยากปิดปากราษฎร และชี้ให้เห็นว่า ผู้แย่งบัลลังก์จริงๆ ไม่ใช่บัณฑิต
หลิว ในบทกวีนี้ หมายถึงหลิวเป้ย (เล่าปี่) สมัยสามก๊ก เซี่ยง หมายถึงเซี่ยงอวี่ ฉู่ป้าหวัง-ฌ้อปาอ๋อง สมัยปลายราชวงศ์ฉิน
ชื่อเหล่านี้ในบทกวี ล้วนแต่นักรบมือฉกาจ การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทุกครั้ง ไม่ว่าในบ้านเมืองไหน เป็นงานของนักรบหรือทหาร พวกเก่งหนังสือ หรือพวกสื่อ ไม่มีน้ำยาอะไร เป็นได้แค่กองเชียร์.
กิเลน ประลองเชิง