“ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” หรือ “ผู้ป่วยโรคเอดส์” ได้ดำรงอยู่คู่กับโลกเรามานานกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา สำหรับสังคมไทยเราโรคนี้ได้มีการระบาดและคงอยู่มานานกว่าสามสิบห้าปี วันเวลาที่ผ่านมา ...ผู้คนทั้งโลกต่างได้ตั้งคำถามและแสวงหาคำตอบทางออกของโรคเอดส์ ที่ว่า...

เหตุใดเชื้อไวรัสเอชไอวียังคงมีการระบาดอยู่ในคนที่อยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกอย่างยั่งยืนและในแวดวงของนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ นักไวรัสวิทยา นักระบาดวิทยา...วิชาชีพที่เกี่ยวข้องเหตุไฉน? จึงยังไม่มี “ยา” หรือ “วัคซีน” ที่หยุด หรือ...รักษาโรคดังกล่าวให้หายขาด

เฉลิมพล พลมุข รองประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ ย้ำว่า การระบาดของโรคเอดส์มีมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือต้นศตวรรษที่ 20 เป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์เกิดความบกพร่อง โดยไม่สามารถไปต่อสู้กับเชื้อโรคประเภทต่างๆในร่างกายได้โดยมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ต่อมน้ำเหลืองโต น้ำหนักลด

ตลอดถึงอาการอื่นๆตามมา...เชื้อไวรัสเอชไอวีที่มาจากสารคัดหลั่ง น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่นในช่องคลอด ที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน จากแม่สู่ลูก...น้ำนมมารดา การรับเลือด สักยันต์ รวมถึงอุบัติเหตุในทางการแพทย์

...

ในปัจจุบันคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์มีระบบยาต้านไวรัสที่ดีทำให้ชีวิตเขาเหล่านั้นสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นผู้คนปกติได้อย่างมีความสุขระดับหนึ่ง...

ฉายภาพใกล้ตัว...ตัวเลขของผู้ติดเชื้อเอชไอวีในกรุงเทพมหานครในปี พ.ศ.2562 พบในจำนวน 77,558 คน โดยพบเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 1,190 คน โดยเป็นเยาวชนที่อายุน้อยกว่า 25 ปี ในจำนวน 628 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1,877 คน

ข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NAP Program) ในปี 2561 พบผู้มีสถานะติดเชื้อมีชีวิตอยู่ 70,747 คน โดยได้รับยาต้านไวรัส 55,123 คน ขณะที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วประเทศประมาณ 480,000 คนในปีเดียวกัน โดยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,400 คน หรือพบเฉลี่ยวันละ 17 คน

และ...ตัวเลขจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 451,384 คน ประเด็นน่าสนใจมีว่า...คาดว่าจะมี “ผู้ติดเชื้อเอชไอวี” ที่ไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อแล้วราว 28,000 คน ซึ่งเขาเหล่านั้นมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อต่อไป...

กระทรวงสาธารณสุข ในเมืองไทยเราได้มีเป้าหมาย 95-95-95 ในการสนับสนุนงบประมาณ เวชภัณฑ์ ยา การตรวจในห้องปฏิบัติการครอบคลุมในประชากรทุกกลุ่มและมีนโยบายที่จะยุติปัญหาเอดส์ในปี พ.ศ.2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าตามยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ (Ending AIDS) พ.ศ.2560-2573

เป้าหมายหลักก็คือ “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา” ลดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่เกินปีละ 4,000 คน ลดการเลือกปฏิบัติโดยมีแนวปฏิบัติที่ว่า เสี่ยงแล้วไม่ติด ติดแล้วกินยา กินยาอย่างสม่ำเสมอ...

“โรค” ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ย่อมมีอยู่ในทุกๆช่วงวัยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งก่อนถึงแก่ความตายมีทั้งโรคที่แพทย์...บุคลากรทางการแพทย์สามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคเรื้อรังประเภทต่างๆ รวมถึงอุบัติเหตุในชีวิตที่ทำให้ร่างกายต้องพิการไปตลอดชีวิต “การเป็นไข้หวัดก็เนื่องมาจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งขณะเดียวกันหากคนคนนั้นมีพฤติกรรมที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกาย บริโภคอาหารที่เป็นยา การหลับนอนเป็นเวลา การเป็นไข้หวัดก็จักใช้เวลาไม่นานนักความป่วยไข้ก็หายไป”

การระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด–19” ที่มีการระบาดไปทั่วโลกในช่วงรอบปีที่ผ่านมาทั้งจากเมืองจีน สหรัฐอเมริกาและประเทศเขตยุโรป ทำให้หลายประเทศต้องปิดเมืองปิดประเทศ สภาพปัญหาหนึ่งที่พบก็คือ...

ปัญหาเศรษฐกิจระดับประเทศ ผู้คนส่วนหนึ่งต้องตกงาน รวมถึงความวิตกกังวลในมาตรการของรัฐบาลที่ต้องระมัดระวังการแพร่กระจายการระบาดของโรคดังกล่าว และองค์กร หน่วยงาน ผู้คนประชาชนชาวบ้านทั่วไปต่างก็ป้องกันตัวเองในระดับพื้นฐานเพื่อมิให้ตนเอง คนในครอบครัว สังคมเป็นผู้ติดโรคระบาดโควิด-19

ข้อเท็จจริงหนึ่งในแวดวง “การแพทย์” และ “สาธารณสุข” ได้มีความพยายามทดลองรักษาโรคโควิด-19 ด้วยยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งองค์กรและหน่วยงานที่รับผิดชอบยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ให้การรับรองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณยาของผู้ติดเชื้อเอชไอวีในการดูแลรักษาแต่ประการใด และการรับรองถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่สามารถติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และ...จะไม่เป็นพาหะของเชื้อไวรัส

กรณีดังกล่าวใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของโรงพยาบาลอุลเล่อโวล (Ulleval) แห่งมหาวิทยาลัยออสโล รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้นำเสนอถึงการดูแลผู้ป่วยในโรคทั้งสองนี้

เฉลิมพล บอกว่า สำหรับเมืองไทยเราทีมแพทย์ของ รพ.ราชวิถีได้นำยาต้านไวรัสหวัดและยาต้านไวรัสเอดส์มารักษาผู้ป่วยไวรัสโคโรนาที่มีอาการรุนแรงจนประสบความสำเร็จ...(hivnorge.no)

“วัคซีนเอดส์” ทั้งในสังคมไทยเราและระดับโลกอยู่ระหว่างขั้นตอนของการทดลอง ข้อมูลหนึ่งของ ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน (Vaccine Trial Center) คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ร่วมมือกับศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา ที่ผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

เมื่อปี พ.ศ.2546 ได้มีการทำวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 3 ในเมืองไทยเราโดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1.6 หมื่นคน ผลจากงานวิจัยพบว่า มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ร้อยละ 31.2 เป็นเวลา 3 ปี ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งแรกของโลก

นอกจากการทดลองในหน่วยงานดังกล่าวแล้ว สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐอเมริกาที่ได้ร่วมมือกับบริษัทเภสัชกรรมยานเซน (Janssen) ได้ทำการทดสอบในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ และยุโรป มีผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวน 3,800 คน ในคนข้ามเพศระหว่างอายุ 18-60 ปี พบว่ามีผลตรวจไวรัสเอชไอวีเป็นลบ และอยู่ระหว่างวัดประสิทธิภาพของวัคซีนในระดับการวิจัยและพัฒนาที่ชื่อว่า “โมเซโก”

โดยวัคซีนชนิดนี้มีองค์ประกอบไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ย่อยหลายสายพันธุ์ เพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันที่มีอยู่อย่างหลากหลายชนิด
ทั่วโลก...(Xinhuathai.com)

การวิจัยทดลองเกี่ยวกับวัคซีนเอดส์เป็นความคาดหวังขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ได้ตั้งเป้าหมายของการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีกสิบปีข้างหน้าคงจักเป็นความหวังของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ที่มีความเจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าวอยู่ในประเทศต่างๆทั่วโลก ขณะเดียวกันทีมงานการวิจัย ทดลองจากนักวิทยาศาสตร์ สาขาที่เกี่ยวข้องในการวิจัยวัคซีนของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจจะต้องใช้วันเวลาที่ยาวนานเพื่อที่จะค้นพบตัวยาหรือวัคซีนเพื่อช่วยชีวิตเขาเหล่านั้นให้หายจากเชื้อโรคที่คร่าชีวิตของมนุษย์ไปนับล้านคนเศษ

“วันเอดส์โลก (World AIDS Day)” ได้เวียนมาอีกครั้งหนึ่งในรอบปีคือทุกๆวันที่ 1 ธันวาคม สำหรับปีนี้มีแนวคิดในการรณรงค์ก็คือ “เอดส์อยู่ร่วมกันได้ไม่ตีตรา (Walk Together)” ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ยังคงมีตัวตนที่ชัดเจนในฐานะพลเมืองของประเทศ สิทธิและหน้าที่ของเขาเหล่านั้นเฉกเช่นเราท่านทั้งหลาย การทำงาน เสียภาษีให้กับประเทศ ออกไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง การเป็นคนดีร่วมมือในการพัฒนาประเทศในบริบทต่างๆ...

ฝากส่งเสียงไปยัง “ผู้นำ” ของ “รัฐบาล” ได้เห็นตัวตนของเขาที่ชัดเจนแล้วหรือไม่ ฤาว่า...ต้องรอให้เขาเจ็บป่วยพบความทุกข์ในชีวิตแล้วลงเอยด้วยตัวเลขแห่งความตายนับพันหมื่นแสนล้านราย คำถามสำคัญมีว่า...เมื่อวันนั้นมาถึงแล้ว “ประเทศชาติ” จักเดินไปในอนาคตข้างหน้าเช่นไร.