ขบวนการนายหน้าเถื่อน “เตรียมหา แรงงานเติมสต๊อก”รอจังหวะผลักดันลักลอบเข้ามาช่องทาง “แมวลอดรั่วไหล” ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา เพื่อส่งให้ “นายจ้างคนไทย” ที่ต้องการแรงงาน ราคาถูก มีทั้งในร้านอาหาร งานก่อสร้าง หรือโรงงานอาหารแปรรูปบางแห่ง...
สาเหตุจากในช่วงโควิด-19 ระบาดนี้ “เมียนมาล็อกดาวน์” ต่างพากัน “ตกงาน” ที่อยู่กันด้วยความลำบาก ทำให้เป็นแรงผลักดันพากันเข้ามา “เมืองไทยผ่านขบวนการนายหน้า” ที่เกิดจากปัจจัย “นายจ้างคนไทย” ก็ยังต้องการ “แรงงานราคาถูก” ชนิดแบบ “รับไม่อั้น” อยู่แล้วอีกด้วย
เพราะในช่วงเดือน มี.ค.2563...โควิด-19 ระบาดในไทย “แรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา” ต่างแห่หนีกลับประเทศ ส่งผลให้เผชิญ “ขาดแคลนแรงงาน” หลังจาก “เศรษฐกิจไทย” กลับมาขับเคลื่อนได้เกือบทั้งหมดอีกครั้ง

...
อย่างที่รู้กันแล้วว่า...ถ้าหากนำเข้า “แรงงานถูกกฎหมายใหม่” ต้องมีค่าใช้จ่ายตรวจสุขภาพ ค่ากักตัว 14 วัน ตามมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 ไม่ต่ำกว่าครึ่งแสนบาทต่อหัว นับเป็นต้นทุนให้นายจ้างรับภาระค่อนข้างสูง ทำให้ต้องหันมารับ “แรงงานราคาถูก” ที่ไม่ต้องจัดหาสวัสดิการมากมายแทน
ด้วยเหตุนี้ยังเป็นแรงจูงใจสำคัญให้มีการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว ตามช่องทางพรมแดนธรรมชาติติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

ปัญหาการลักลอบนำเข้าแรงงานเพิ่มความเสี่ยงการระบาดโควิด-19 รอบสองนี้ พี่ตุ่น-สมพงค์ สระแก้ว ผอ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน บอกว่า การรับแรงงานต่างด้าวใหม่ ต้องเข้าระบบมาตรการควบคุมป้องกันโรคที่มีราคาค่อนข้างสูง สาเหตุนี้ “นายจ้างคนไทย” จึงไม่ยอมรับภาระลงทุนจ่ายเพิ่มสูงขึ้น
อีกทั้งในส่วน “ประเทศเมียนมา” ก็มีการระบาดโควิด-19 ทำให้หลายคนกำลังเผชิญต่อความอดอยาก ที่ต่างอยู่กันด้วยความลำบาก ไม่มีทั้งงาน ไม่มีเงินใช้จ่าย และเป็นสาเหตุหนี “โรคร้าย” เข้ามาอาศัยหลบภัย “ในไทย” ด้วยการลักลอบเข้าเมืองมาเป็น “แรงงานผิดกฎหมายราคาถูก” กันอย่างต่อเนื่อง
แต่การลักลอบนี้ยังต้องพึ่งพา “ขบวนการแรงงานเถื่อน” เพราะมีเครือข่ายบวกกับประสบการณ์ในการนำพาเข้ามาในไทยได้อย่างปลอดภัย ตั้งแต่การนัดพบพักค้างคืนในป่า ที่มีการเดินทางด้วยรถขนสินค้าเกษตร หรือรถบรรทุก เมื่อมีจุดตรวจความมั่นคงตามด่านชายแดน ก็ต้องคอยเคลียร์เส้นทางได้อีกด้วย

สำหรับ “แรงงานอยู่ในไทยแล้ว” ก็ต้องพึ่งพาตัวเองด้วยการใช้เงินอดออมอย่างประหยัด ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เพื่อให้สามารถอยู่ได้นานที่สุด แต่ว่าในยามเช่นนี้ต่างช่วยเหลืออยู่ด้วยกันแบบครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มไซต์งานก่อสร้าง หรือโรงงานแปรรูป มีทั้งถูกกฎหมาย และผู้ลักลอบเข้าเมือง
เมื่อเป็นเช่นนี้ “กลุ่มแรงงานผิดกฎหมายใหม่” ก็มักเข้ามาอาศัยอยู่กับกลุ่มแรงงานผิดกฎหมายเดิม ที่ไม่ผ่านการตรวจคัดกรองตามมาตรการที่รัฐกำหนดไว้ ย่อมมีโอกาสเป็นผู้ได้รับเชื้อมาแล้วก็ได้เสมอ
ถ้าหากเข้ามาพักอาศัยอยู่ปะปนในชุมชนแรงงาน ก็อาจทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดกระจายเชื้อไวรัสโควิด–19 เป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วก็ได้
ต้องเข้าใจว่า “แรงงานต่างด้าว” มักอาศัยอยู่กันแบบกลุ่มใหญ่ ในชุมชนแออัดที่ไม่ได้รับการบริการสาธารณสุขที่ดี ทั้งยังขาดความรู้ในการป้องกันโรคติดต่อที่ยังใช้ชีวิตไม่มีสุขอนามัย แม้แต่ “เกิดการเจ็บป่วยในแรงงาน” ก็ไม่กล้าไปรักษาในโรงพยาบาล เพราะมีรายได้น้อยไม่มีเงินที่จะกล้าไปตรวจรักษาโรคได้ด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากมี “ผู้นำเชื้อโควิด–19” เข้ามาสู่ในชุมชนแรงงานด้วยกัน เชื่อว่าจะก่อให้เกิด “ความหายนะ” ในการระบาดอย่างรุนแรงยากจะรับมือได้ทันแน่นอน
แม้ว่า “สาธารณสุขไทย” จะตรวจคัดกรองเฝ้าระวังป้องกันโรค มีการค้นหาผู้ติดเชื้อ และประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เชิงรุกใกล้ชิดแรงงานต่างด้าว แต่มีบางอย่าง...“แรงงานต่างด้าว” ยังมีข้อมูลปกปิดที่ไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในการล่วงรู้ข้อเท็จจริงบางอย่างนี้
โดยเฉพาะเรื่อง “แรงงานผิดกฎหมาย” แอบแฝงอาศัยอยู่ในชุมชนอยู่มากมาย มีทั้งคนที่อยู่เก่า และกลุ่มบุคคลเพิ่งลักลอบเข้ามาได้ไม่นานในช่วงนี้
ตามข้อมูลที่มีโอกาสสัมผัสกับแรงงานนี้ทุกคนต่าง “หนีภัยโควิด–19” เข้ามาอยู่ในประเทศไทย เพื่อรอจนกว่าเหตุระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายดีขึ้น เพราะในเมียนมาเลวร้ายอย่างรวดเร็วมาก ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงกว่าที่ทุกคนรับรู้มากกว่าเท่าตัว และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกมากต่อเนื่อง

สาเหตุจาก “โครงสร้างระบบสาธารณสุขประเทศยังไม่ดีพอ” ส่งผลให้ไม่มีความรู้ด้านป้องกันโรคติดต่อตามหลักสุขอนามัยที่ดี ทั้งยังมีภาวะแตกเป็นเสี่ยงของชนกลุ่มน้อย ทำให้ด้านสาธารณสุขในประเทศย่ำแย่
กลายเป็นความกังวลของประชาชน ต่างต้องดิ้นรนหลบหนีเข้ามาในไทย เพื่อหางานทำให้มีรายได้ส่งเงินให้ครอบครัวอาศัยอยู่เมียนมา ในการประทังบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงนี้...
จริงๆแล้ว...“แรงงานผิดกฎหมาย” ก็มีกฎหมายคุ้มครองรองรับเช่นกัน ถ้ามี “นายจ้าง” กระทำการละเมิดชีวิตร่างกาย หรือถูกละเมิดค่าแรงค่าจ้าง สามารถร้องเรียนตามกฎหมายไทยได้ ในความผิดคุ้มครองแรงงาน ถ้าถูกกระทำต่อชีวิตร่างกาย ก็ดำเนินคดีอาญาได้เช่นกัน แต่ไม่ได้ยกเว้นความผิดหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
แน่นอนว่า...“แรงงานใต้ดิน” เป็นบุคคลนอกระบบ ก็มักมี “ระบบส่วยท้องที่” เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จาก “นายจ้างเถื่อน” ในการเก็บค่าหัวคิวแรงงานผิดกฎหมาย เพื่อเป็นค่าดูแลคุ้มครอง
หรือ...การอำนวยความสะดวกหัวละ 500 บาทต่อหัวต่อเดือน
โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีพี่น้องแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก มักเป็นจุดมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ กลายเป็นปัจจัยให้ยังมีการลักลอบนำแรงงานผิดกฎหมายเข้าประเทศ เพื่อแลกกับ “การปิดตาข้างเดียว” ที่ไม่ต้องตรวจจับกุมดำเนินคดี ทำให้แรงงานผิดกฎหมายยังทะลักเข้ามาอาศัยอยู่กับ “นายจ้างเถื่อน” เหล่านี้มากมาย
ซึ่งก็มักมีการปกปิดข้อมูลอยู่เสมอเช่นกัน เรื่องนี้อาจส่งผลต่อความเสี่ยงการนำผู้ติดเชื้อโควิด–19 เข้ามาในไทยแบบไม่รู้ตัว เพราะ “นายจ้างเถื่อน” ก็มักให้พักอาศัยอยู่ร่วมกันแบบแออัด ไม่มีสาธารณูปโภค เช่น ไม่มีนํ้าสะอาด ไม่มีถังขยะ ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้โดยง่ายตามมา...
สาเหตุเพราะแต่ละพื้นที่มีมาตรการความเข้มข้นในการตรวจจับแรงงานผิดกฎหมายหย่อนยานต่างกัน ในบางพื้นที่ก็ปล่อยให้มีการแสวงหาผลประโยชน์กันอย่าง “เป็นกอบเป็นกำ” แต่บางครั้งถ้ามี “ผู้ใหญ่กระทุ้งตักเตือนที” ก็จะสร้างกระแสผลงานลงพื้นที่ปราบปรามไล่จับกุมแรงงานผิดกฎหมายเป็นครั้งคราวที
ทำให้ยังมีระบบนายจ้างลักลอบใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอยู่ในสังคมไทย เสมือนเป็นปัญหาซุกซ่อนอยู่ใต้พรมเช่นเดิม
ประเด็น “การป้องกันโควิด–19” ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวนี้ มองว่า กลไกสำคัญคือ “นายจ้าง” เพราะต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของผู้ประกอบการ ควรหาอุปกรณ์ให้พนักงานอย่างครบถ้วน และให้ความรู้ในการป้องกันอย่างเข้มงวด สิ่งสำคัญนายจ้างก็ต้องอย่าเห็นแก่ตัวรับต่างด้าวเถื่อนทำงานเด็ดขาด
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องการกระทำความผิดกฎหมาย ในการลักลอบแรงงานเถื่อนเท่านั้น แต่เป็นการเปิดทางให้เชื้อโควิด-19 มีโอกาสเข้ามาระบาดระลอกใหม่ด้วย ที่เป็นการทำลายกำแพงของคนทั้งชาติที่ต่างร่วมมือกันสร้างขึ้นจนสามารถป้องกันโควิด-19 มาได้ถึงทุกวันนี้
เน้นย้ำว่า “ผู้ประกอบการ” ต้องให้ความสำคัญ “กลุ่มแรงงาน” ปฏิบัติตนป้องกันตัวเคร่งครัด “การ์ดอย่าตก” โดยเฉพาะ “นายจ้าง” อย่าเห็นแก่ตัวรับต่างด้าวเถื่อนเด็ดขาด...