จับตาประเด็นร้อน ประเมินสถานการณ์ชุมนุมใหญ่วันที่ 19 กันยายน 2563 เผย 3 ข้อเรียกร้องหลัก เดินขบวนถึงทำเนียบรัฐบาล
วันที่ 18 ก.ย.63 ในรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ได้มีการพูดคุยกับ 2 นักวิชาการในการประเมินสถานการณ์การชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.63 ที่จะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่ามกลางการเตรียมรับมือจากหน่วยงานความมั่นคงอย่างแน่นหนา
นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าการเรียกร้องที่ผ่านมา ดำเนินการเกี่ยวกับสถาบันมากกว่าการเรียกร้องเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีกฎหมายระบุว่า ผู้ใดจะล่วงละเมิดสถาบันไม่ได้ ซึ่งตนก็เป็นประชาชนคนหนึ่งจึงใช้อำนาจตามกฎหมายที่ว่านี้ ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตัวตัดสินไม่ได้ว่าการชุมนั้นผิดหรือถูก ผู้ที่จะตัดสินได้นั้นก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลออกมาจะเป็นอย่างไรนั้น ประชาชนจะได้เข้าใจในเรื่องขอบเขตการพูดในการชุมนุมว่า แบบใดสามารถพูดได้ แบบใดพูดไม่ได้
ขณะที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ข้อเรียกร้อง 10 ประการ เกี่ยวกับสถาบัน เป็นการทำอย่างไรให้อยู่อย่างสง่างาม และสอดคล้องกับประชาธิปไตยสากล ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าศาลจะมีดุลพินิจอย่างไร
นายณฐพร กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากความคิดของเด็กที่ออกมาพูด แต่เป็นขบวนการ ซึ่งตนติดตามและมีข้อมูลมาพอสมควร
สำหรับประเด็นที่คนมองว่าเป็นการให้เด็กออกหน้า รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของเด็กกลุ่มนี้ จะเห็นว่าไม่ได้เพิ่งจัดกิจกรรมทางการเมืองเมื่อไม่กี่เดือน แต่บางคนผ่านการจัดชุมนุมทางการเมืองมาหลายปีแล้ว มีการสะสมทักษะมาเรื่อยๆ
...
ขณะเดียวกันการจัดชุมนุมทางการเมืองเช่นนี้ ก็เป็นการระดมความร่วมมือเป็นครั้งคราวกัน มีการเปิดบัญชีขอเงินบริจาคอย่างเป็นทางการ หากใครสนับสนุนก็โอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว รวมทั้งมีอาสาสมัครถือกล่องเดินหาเงินบริจาค ส่วนในแง่ของวัสดุอุปกรณ์ก็ได้มาจากคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่คล้ายกัน ซึ่งอาจจะได้ในราคาที่ต่ำกว่าปกติ คล้ายกับงานกฐินสามัคคี เราคงไม่สามารถที่จะเอาการชุมนุมของเด็กมาเทียบเคียงกับขบวนการมวลชนกึ่งจัดตั้งที่ผ่านมาไม่ได้เลย
นายณฐพร กล่าวอีกว่า ในการยื่นคำร้องนั้น ตนมีทั้งหลักฐานบัญชีการโอนเงิน รับเงิน นอกจากนี้ สังเกตได้ว่า แกนนำบางคน เวลาพูดจะมองที่โทรศัพท์อย่างเดียว จึงตั้งข้อสงสัยว่า เด็กกลุ่มนี้ยังไม่มีองค์ความรู้ที่จะรู้เรื่องเหล่านี้มากพอ ยังต้องอาศัยข้อมูลจากโทรศัพท์ ไม่ได้พูดจากจิตวิญญาณ ตนกล้าพูดได้ว่า มีพยานหลักฐานพอสมควรให้เห็นว่า มีใครอยู่เบื้องหลัง
ขณะที่ รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า การดูมือถือของเด็กระหว่างการพูด คล้ายกับพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน สมัยก่อนอาจจะต้องปริ้นท์กระดาษออกมา แต่สมัยนี้มีแค่มือถือเพียงเครื่องดียวก็พอ ส่วนที่บอกว่าเด็กสมัยนี้ไม่มีความรู้ แต่มีสิ่งที่น่าสนใจของเด็กรุ่นนี้ก็คือ ดูจากเวลาจัดกิจกรรมรำลึกต่างๆ พบว่ามีเด็กกลุ่มนี้มาร่วมงานกันมาก รวมไปถึงงานขายหนังสือจะเห็นว่าหนังสือที่ขายดีคือ หนังสือเกี่ยวประวัติศาสตร์ ซึ่งคนที่ซื้อไปก็คือเด็กนักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากสื่อกระแสหลัก และจากการได้คุยกับเด็ก ๆ ส่วนหนึ่ง ทราบว่าข้อเรียกร้องในวันพรุ่งนี้ มี 3 ข้อหลัก คือ
1. ความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนี้ว่ามีที่มาอย่างไร
2. ความล้มเหลวของมรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
3. พัฒนาข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ในเรื่องของแนวทางให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ใช้ความรุนแรง โดยเป้าหมายคือ เดินไปยื่นข้อเรียกร้องที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นการแสดงให้เห็นว่า ยังเชื่อมั่นในกลไกกติกา และเป็นการใช้สิทธิ์ของพลเมือง ที่อยู่ขอบเขตของกฎหมาย.