คนรุ่นเราเมื่อเจอกันก็ตั้งใจจะไม่คุยกันเรื่องการเมือง เพราะอาจเจอข้อหาเบา “สลิ่ม” และข้อหาหนัก “ไดโนเสาร์” ก่อนลาจาก จิระนันท์ พิตรปรีชา ยื่นหนังสือเล่มสวย ใบไม้ที่หายไป ให้เป็นของฝาก
แล้วบอก “พิมพ์สองแสนแล้วนะคะพี่”
ผมอึ้ง...รู้จักและแอบรักกวีหลายคน จะเริ่มที่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ หรืออดุล จันทรศักดิ์ และปิยะพันธุ์ จัมปาสุต ก็ได้...หนังสือของท่านเหล่านี้เป็นหนังสือขายดี แต่ตัวเลขพิมพ์ถึงสองแสนเล่มยังไม่เคยได้ยิน
ผมรู้จัก “จิระนันท์” ในกิจกรรมงดงามมากมาย...จนเกือบจะลืมเธอคนนี้ คือ กวีซีไรต์ ปี 2532
เวลาส่งคอลัมน์อีกชั่วโมงกว่าๆ ผมดูจะไม่มีช่องความคิด... ลื่นไหลไปทางใดเลย นอกจากหนังสือเล่มในมือ...จิระนันท์ อ่านความคิดผมออก เธอบอก “เอาคำวิจารณ์ที่ปกหลังไป น่าจะใช้ได้”
“อารมณ์ของจิระนันท์ในขณะเดียวกันนั้น เป็นทั้งประดุจไฟไหม้ป่า และเป็นทั้งลมพายุพัดโหมแรงรื่นเย็น ไฟแห่งความเร่าร้อนประสมกับลมแห่งความเยือกเย็นสุขุม แต่ไม่หยุดนิ่ง
นี่เป็นลักษณะพิเศษของกาพย์กลอนของจิระนันท์ที่เราพบ
ในด้านเทคนิค จิระนันท์ไม่เคยเป็นพวกอนุรักษนิยม เขาเขียนกลอนเมื่อนึกจะเขียน และก็เขียนตามที่เขาเห็นว่าควรจะเขียนอย่างไร ไม่เห็นมีที่ไหนที่เกาะแน่นอยู่กับ “กรอบ” อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
แต่ก็ใช่ว่าจิระนันท์ไม่มีกรอบ หากเป็นกรอบของเขาเอง นั่นคือ...ไม่มีกรอบที่ตายตัว
ลงชื่อผู้วิจารณ์ นายผี (อัศนี พลจันทร์) ชื่อนี้คือกวีในตำนาน จึงเป็นคำวิจารณ์เหนือคำวิจารณ์
สำหรับคนรุ่นต่อๆไปที่อาจจะไม่ทัน ผมขอทบทวนความจำ ใบไม้ที่หายไปหลายบท เป็นบทกวีที่จิระนันท์เขียนในป่า หลังบทบาทผู้นำนักศึกษา 14 ตุลาคม 2516 หลังการตามไล่ล่า...ของกลุ่มขวาพิฆาตซ้าย...
...
จิระนันท์ และเสกสรรค์ ประเสริฐกุล หนีเข้าป่า
แทนคำตอบที่อาจจะได้ฟังในสื่อต่างๆในวันต่อไป วันนี้ผมขอเลือกเอาบทกวี กล่อมลูกยามไกล...เธอบันทึกว่า เขียนใน กระท่อมริมแม่จัน ป่าอุ้มผาง กรกฎาคม 2513
เมฆสีดำ เดือนดับ พยับฝน ฟ้าร้องครืน สะอื้นโหย โบยลมบนใบไม้หล่น ลอยร่วงควงคว้าง...คว้าง...
นิ่งเสียเถิดลูกน้อยค่อยนอนหลับ แม่จะดับคบไต้ที่พรายพร่าง คืนนี้มืดแม่กอดไว้ไม่ยอมวาง ลูกเบียดร่างแนบอกแม่กกนอน พ่อของลูกไปทำงานการสู้รบ อีกสองวันคงได้พบอย่าร้องอ้อน แม่ก็เหนื่อยหนักหนาห่วงอาทร เฝ้าปรนป้อนลูกทั้งงานยังมี
เสียงเพลงกล่อมย้อมในหัวใจแม่ เอาหูแนบได้ยินแน่ดังที่นี่ คือเลือดเนื้อหลั่งเต้นเป็นดนตรี มโหรีแห่งรักหวังดังชัดแรง “คืนนี้มืด ใช่มืดสนิท ไฟดวงนิด ยังมีแสง ขอเพียงลมพัดมาแรง ถ้ามอดแดงก็จะลาม”
...มิใช่เพลงจันทร์เจ้าเฝ้าร้องขอ ไม่ใช่ท้อเพลงถอยคอยแต่ถาม เป็นบทเพลงแห่งความกล้าพยายาม ที่จะตามฝังปลูกลูกสู้-ทน...เมฆสีดำเดือนดับพยับฝน ฟ้าร้องครืนสะอื้นโหยโบยลมบน ใบไม้หล่นลอยร่วงควงคว้าง...คว้าง...
เช็ดน้ำตาตัวเองเร่งให้เช้า ใจสั่นเศร้าสุดหักห้ามยากพรากห่าง คืนนี้มืดคงมีรุ่งอรุณราง เมื่อสว่างแม่จะมาหาลูกเอง
บทกวีบทนี้ผมอ่านกี่ครั้ง ก็น้ำตาซึมทุกครั้ง เด็กรุ่นหลังๆ ที่ยังไม่เคยอ่านควรไปหาอ่าน ชีวิตในป่า ของ “คุณหนู” รุ่นนั้น เป็นบทเรียนที่ยากจะเรียนรู้.
กิเลน ประลองเชิง