รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยกเคสตัวอย่าง ศาลไม่รอลงอาญา คดีโจ๋ยกพวกตีกันใน รพ. เตือนสติวัยรุ่นชอบใช้กำลัง เตรียมก้มหน้ารับกรรมที่ก่อไว้

จากกรณี กลุ่มวัยรุ่นยกพวกครึ่งร้อยบุกทำร้ายหมอ-พยาบาล กลางห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล หลังไม่พอใจ ที่ช่วยเพื่อนที่บาดเจ็บล่าช้าจนเสียชีวิต ขณะที่อีกกลุ่มนำคนลุยเปิดศึกตีกันเละกลางห้องฉุกเฉินซ้ำ เมื่อรู้ว่าเพื่อนเสียชีวิต เพื่อระบายแค้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 และบาดเจ็บ 2 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า "ชกแพทย์หญิง ในห้องฉุกเฉิน เลิกเถอะ วัยรุ่น ชอบใช้กำลัง กร่างให้สุด หยุดที่เรือนจำ มาแล้ว เตรียมก้มหน้ารับกรรมที่ก่อไว้"

พร้อมยกเคสตัวอย่าง ศาลพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา เหตุตีกันในโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ศาลมีคำพิพากษาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.62 ศาลจังหวัดอ่างทอง จำคุก วัยรุ่น 9 คน ที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิง จนบาดเจ็บ มีผู้นำส่ง รพ.อ่างทอง แต่คู่กรณียังไม่เลิกตามมาทำร้ายกันในห้องฉุกเฉิน รพ.อ่างทอง จนอุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหาย ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน รับสารภาพเหลือ 3 เดือน พฤติการณ์ร้ายแรง ไม่ยำเกรงกฎหมาย ศาลจึงไม่รอลงอาญา คราวนี้ อุกอาจถึงขั้นชก ทำร้ายแพทย์หญิง พยาบาล เพราะไม่พอใจหาว่ารักษาช้า

และว่า โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่กู้ชีพฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ป่วย และปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย พฤติกรรมใหญ่โต ทำทรัพย์สินของราชการเสียหาย ตีทำร้ายในโรงพยาบาล เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด ที่ผู้ปกครอง พ่อแม่ของวัยรุ่นทั้งหลาย ควรกำชับและดูแลลูก ถ้าไม่อยากเดือดร้อนเพราะลูกที่เกเรของคุณเอง โรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิด จากนี้ไปกล้องและพยานบุคคลต่างๆ จะเป็นหลักฐานเอาผิดกับวัยรุ่นที่กร่างให้สุด จะได้ไปอยู่ที่เรือนจำเหมือนวัยรุ่นที่ก่อเหตุที่ผ่านมาก่อนหน้านี้

...

อัยการจะพิจารณาบรรยายฟ้องถึงพฤติกรรมที่ท้าทายกฎหมาย ใหญ่โต ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก หรือฟ้องขอให้เพิ่มโทษหากมีประวัติเก่ามาแล้ว

"จึงขอร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานของท่านให้เป็นคนดีอย่าเกเร จะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะลูกหลานติดคุก จะเสียประวัติ เสียโอกาสในการทำงาน วันนี้คนประวัติดี ยังหางานทำยาก เสียประวัติแล้วโอกาสในสังคมแทบไม่มีเหลือต่อไป ดูแลลูกหลานให้เป็นคนดีกันเถอะครับ"

(อ่านโพสต์ฉบับเต็ม ที่นี่)

ที่มาจาก เฟซบุ๊ก โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง