"ลิสซิ่ง" ขอชี้แจงบอกได้ช่วยเหลือ ลุงค้ำประกันให้ญาติซื้อรถ คุยนายทุนรายใหม่เรื่องบ้านที่ถูกขายทอดตลาดให้ แต่กลับโดนเจ้าตัวเรียกค่าเสียเวลาแสนห้า
จากกรณี นายสิฐ สิทธิสอน อายุ 51 ปี ชาวจังหวัดเชียงใหม่ ไปค้ำประกันให้ญาติซื้อรถ 6 ล้อ ต่อมาบริษัทลิสซิ่งได้ทำการยึดรถไปขายทอดตลาด แต่ก็ไม่พอใช้หนี้ จากนั้นได้ทำหนังสือประนอมหนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ที่ดินของนายสิฐที่จำนองไว้กับธนาคารกลับถูกยึดไปขายทอดตลาด ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (ลุงค้ำประกันให้ญาติซื้อรถ แม้ขายก็ไม่พอใช้หนี้ รันทดซ้ำบ้านก็โดนยึดแล้ว)
ล่าสุด นายสิฐ ได้เดินทางเข้ามายื่นเรื่องขอให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมเปิดใจว่า ตนรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมเนื่องจากถูกบริษัทลิสซิ่งคู่กรณีนำที่ดินไปขาย ทั้งๆ ที่มีการทำหนังสื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ไปแล้ว
โดยที่ดินของตนตอนนี้ก็มีคนซื้อไปแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะถูกไล่ออกจากที่เมื่อไหร่ สิ่งที่มาเรียกร้องในวันนี้ก็เพียงเพราะอยากจะได้ที่ดินของตนคืน
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเดินทางเข้าร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมในวันนี้แล้วนั้น ทางด้านเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการรับเรื่องของ นายสิฐไว้แล้ว จากการตรวจสอบทราบว่าเรื่องดังกล่าวได้มีการฟ้องร้อง และยังมีการขึ้นในชั้นศาลมาแล้ว อีกทั้งที่ดินดังกล่าวได้มีการขายทอดตลาดไปแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเรื่องราวดังกล่าว เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
...
บริษัท ลิสซิ่ง ขอชี้แจงเคยช่วยเหลือแล้ว
ตัวแทนบริษัท ลิสซิ่ง ที่ถูกอ้างถึง เปิดเผยว่า มีการทำสัญญาเช่าซื้อรถบรรทุกกันตั้งแต่ ปี 2556 โดยนายสิฐ ได้มาค้ำประกันในการผ่อนรถบรรทุกให้แก่นายมนูญ เชิดชู ในเวลาต่อมา นายมนูญ ได้ขาดการชำระผ่อนส่งเป็นเวลา 14 เดือน
ทางบริษัทจึงจำเป็นต้องฟ้องศาลแพ่งจังหวัดเชียงใหม่ และในวันไต่สวนจำเลยทั้งสองขาดนัดไม่มาศาลฟังคำพิพากษาในปี 2559 โดยศาลได้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดชอบมูลหนี้ที่เกิดขึ้นพร้อมค่าใช้จ่ายเกิดจากการฟ้องร้อง
แต่ทั้งสองก็ยังเพิกเฉยไม่มาชำระเลย และในปี 2560 ทางบริษัทจึงเรียกขอคืนรถคันดังกล่าว ซึ่งได้ล่วงเลยมานานมูลค่ารถในวันที่ส่งคืนนั้นไม่เพียงพอ บริษัทจึงได้ส่งหนังสือแจ้งมูลค่าที่ขายออกไปได้ และเงินส่วนต่างที่ต้องรับผิดชอบแก่ผู้สัญญา
จากนั้น ทั้ง 2 คนได้มาเจรจาขอผ่อนชำระในส่วนต่างโดยทางบริษัทยินยอมให้ทั้งคู่ผ่อนชำระในเดือนละ 3,000 บาท แต่ปรากฏว่าตั้งแต่ปี 2560- 2562 ก็ไม่ชำระเลย กระทั่งกรมบังคับคดีมีหมายขายทรัพย์ของผู้ค้ำคือนายสิฐ
จากนั้นก็ได้เดินทางมา ที่บริษัทอีกครั้งเพื่อขอให้บริษัทช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าในวันที่ขายทอดตลาดได้มีนายทุนรายใหม่เข้ามาซื้อทรัพย์ไปทำให้บริษัทไม่สามารถช่วยเหลือได้ทัน หลังจากนั้นนายทุนรายใหม่ที่ซื้อทรัพย์ได้เข้ามาเจรจากับทางบริษัท
โดยได้ข้อสรุปนายทุนรายใหม่บอกมากับทางบริษัทว่า ขอค่าเสียเวลา 50,000 บาท เป็นค่าซื้อทรัพย์จากกรมบังคับคดีอีก 30,000 บาท รวมเป็น 80,000 บาท ในครั้งแรกทางบริษัท ยินดีที่จะช่วยเหลือนายสิฐ ด้วยความเห็นใจในการที่ไม่มีที่อยู่อาศัย
แต่ผ่านมาสักพักปรากฏว่า ผู้ค้ำ คือ นายสิฐ ได้เรียกร้องค่าเสียเวลาจากบริษัทจำนวน 150,000 บาท ทำให้บริษัทไม่สามารถตกลงตามข้อเรียกร้องของนายสิฐได้
ทั้งนี้ จึงแนะนำให้นายสิฐ ไปคุยนายทุนรายใหม่ และนายสิทธิ์ไปเจรจาตกลงกันเองให้เสร็จแล้วก่อนออกมาเจรจาตกลงกับบริษัทในภายหลังแต่ปรากฏว่านายสิฐ ได้ไปออกข่าวตามสื่อมวลชนแล้วให้ข้อมูลบิดเบือนความเป็นจริงทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียงและตกเป็นจำเลยของสังคม ซึ่งทางเจ้าของบริษัทก็ได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว