หมอจิรัชย์ จากรพ.หาดใหญ่ เตือนอย่ากลืน "เม็ดกระท้อน" ลงท้อง พบคนไข้วัย 78 ลำไส้ใหญ่ทะลุ อุจจาระเต็มช่องท้อง มีโอกาสช็อกจากความดันตก เสี่ยงตายได้

นายแพทย์จิรัชย์ จิรธรรมโอภาส ชำนาญการแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผยว่า เมื่อช่วงประมาณ 3 ทุ่ม ของวันที่ 26 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้รับประสานให้เข้ามาช่วยคนไข้รายหนึ่งอายุ 78 ปี ไม่มีประวัติเรื่องของการขับถ่ายที่ผิดปกติ

โดยตอนนั้นคนไข้มีอาการท้องอืด ปวดท้อง และผลการเอกซเรย์พบว่า มีลมรั่วอยู่ในช่องท้อง และมีการประเมินเบื้องต้นว่า น่าจะเป็นอาการของลำไส้ หรือระบบทางเดินอาหารทะลุ ประกอบกับช่วงดังกล่าวเป็นหน้าของกระท้อนที่มีการวางขายอยู่เยอะ

นายแพทย์จิรัชย์ จิรธรรมโอภาส
นายแพทย์จิรัชย์ จิรธรรมโอภาส

ทางทีมแพทย์จึงคาดว่า คนไข้น่าจะกลืนเม็ดกระท้อนเข้าไป เนื่องจากอาหาร หรือผลไม้อย่างอื่นไม่น่าจะเป็นไปได้ และผลจากการเอกซเรย์ และซีทีสแกน ก็พบสิ่งแปลกปลอมหัวเรียวท้ายเรียวคล้ายกับเม็ดกระท้อนอยู่ในลำไส้อยู่ 2 จุดใหญ่ๆ จริงๆ จึงรีบพาคนไข้เข้าห้องผ่าตัดในทันที เนื่องจากหากช้ากว่านี้คนไข้อาจจะถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิตได้

...

อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดพบเม็ดกระท้อนอยู่ในลำไส้ของผู้ป่วยมากกว่า 10 เม็ด ซึ่งทางแพทย์ได้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ในส่วนที่เป็นปัญหาออก และเย็บปิดลำไส้ส่วนปลาย และยกทวารเทียมขึ้นมาให้คนไข้ขับถ่ายทางหน้าท้องไปก่อนในระยะนี้ พร้อมกับทำความสะอาดอุจจาระที่กระจายอยู่ในช่องท้องจากการที่ลำไส้ทะลุ

นายแพทย์จิรัชย์ กล่าวอีกว่า คนไข้รายนี้เป็นเคสแรกที่กลืนเม็ดกระท้อนเข้าไป และมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน ซึ่งคนไข้ที่มาด้วยอาการนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากลำไส้ทะลุ และอาจจะมีอุจจาระกระจายอยู่ในช่องท้องแล้ว

เรายังพบว่า คนไข้ยังเสี่ยงต่อการช็อกจากการที่ความดันตก และเสียน้ำในช่องท้อง อีกทั้งหลังผ่าเสร็จก็ยังต้องขับถ่ายทางทวารเทียมที่หน้าท้องอีกอย่างน้อย 6 เดือน และหลังจากนั้นต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกรอบ เพื่อปิดทวารเทียม เพื่อขับถ่ายแบบปกติ

ทั้งนี้ ทางแพทย์ยังได้ฝากเตือนผู้ชื่นชอบการกินกระท้อน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุที่ไม่มีฟัน ให้งดการกลืนเม็ดกระท้อนลงไปในท้องเด็ดขาด เนื่องจากกระท้อนอาจจะเป็นผลไม้อย่างหนึ่งที่กินแล้วเกิดอาการเพลิน และอยากที่จะกลืนลงไปในท้องทั้งเม็ด แต่ผลกระทบที่ตามมานั้น อาจจะถึงขั้นรุนแรงถึงชีวิตอย่างกับคนไข้รายนี้ ซึ่งไม่คุ้ม และต้องเจ็บตัวอยู่นานเกือบแรมปีกว่าจะหายเป็นปกติ