สาวใหญ่วัย 52 ร่ำไห้ ก้มกราบ "ยายพิศ" ขายข้าวแกง ขอโทษใช้แบงก์กาโม่ ซื้อข้าว หวังเงินทอน อ้างขี่รถมาแล้วน้ำมันหมดพอดี ยายบอกสงสาร ถ้าขอดีๆ ก็ให้

จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้มีสาวใหญ่ขี่รถจักรยานยนต์ สวมหมวกกันน็อก มาซื้อข้าวกล่อง และลูกชิ้นทอดจาก ยายสมพิศ ฤทธิเดช อายุ 70 ปี แม่ค้ารถเข็นหน้า ร.ร.สุพรรณภูมิ อ.เมืองสุพรรณบุรี ก่อนใช้แบงก์กาโม่ 500 บาท พับขอบให้ดูเหมือนของจริง จ่ายค่าของ ซึ่งยายสมพิศไม่ทันสังเกต จึงทอนเงินไปให้อีก 400 บาท ก่อนสาวใหญ่จะรีบขี่จักรยานยนต์ ออกไปทั้งที่ยังได้เงินทอนไม่ครบ กระทั่งมารู้ทีหลังว่าถูกหลอก ยายถึงกับน้ำตาซึม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง นำกำลังชุดสืบสวน เร่งติดตามคนร้าย กระทั่ง ชุดสืบสวนได้จับกุมตัว น.ส.เดือนเพ็ญ พงษ์สวัสดิ์ อายุ 52 ปี ได้ในตลาดอู่ทองใกล้บ้านพัก จึงนำตัวมาสอบสวน

โดย น.ส.เดือนเพ็ญ สารภาพว่า ก่อเหตุจริง โดยวันเกิดเหตุ ขี่รถจักรยานยนต์มาแล้ว น้ำมันจะหมด แต่ไม่มีเงิน จึงใช้แบงก์กาโม่ ที่ติดตัวมา ไปหลอกซื้อของยาย เพื่อจะได้นำเงินทอนไปเติมน้ำมัน 

...

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญยายสมพิศ ให้มาดูตัว น.ส.เดือนเพ็ญ ผู้ก่อเหตุ ที่สภ.เมืองสุพรรณบุรี แต่ยายสมพิศ ยืนยันจะไม่เอาเรื่อง เพราะสงสาร และอโหสิกรรมให้ และบอกกับ น.ส.เดือนเพ็ญว่า ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าไม่มี มาขอยายดีๆ ยายก็ให้ หลังได้ยินคำพูดของยายสมพิศ น.ส.เดือนเพ็ญ ถึงกับน้ำตาไหล ก้มกราบเท้ายายพิศ พร้อมกับขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป และสัญญาว่าจะไม่ทำเรื่องไม่ดีอีก จากนี้จะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีของสังคม

ด้าน พล.ต.ต.นิธิธร กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดส่วนตัว แต่เป็นเรื่องที่ยอมความกันได้ ถ้าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ เจ้าหน้าที่ก็จะตักเตือนผู้ก่อเหตุและทำประวัติไว้เท่านั้น

แต่จากการตรวจสอบประวัติพบว่า น.ส.เดือนเพ็ญ มีหมายจับคดีร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร ในพื้นที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี เมื่อปี 2553 นอกจากนี้รถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ ล่าสุดหลังกระทำผิดยังได้ไปดัดแปลงเปลี่ยนสีรถ ถือว่าเป็นความผิด พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์ จึงต้องส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป