"มะเร็งปากมดลูก" ชื่อที่ทำให้สาวๆ หลายคนรู้สึกหวาดกลัว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า "ผู้หญิงไทย" เป็นโรคนี้มากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม และยังเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับ 1 อีกด้วย จากสถิติทุกปีจะมีผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก รายใหม่ เพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นคน

"ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้พูดคุยกับ นายแพทย์อรัณ ไตรตานนท์ หรือ หมออรัณ เจ้าของเพจ อรัณ ไตรตานนท์ โต๊ะทำงาน นายแพทย์ สบ 2 กลุ่มงานสูตินรีเวชกรรม โรงพยาบาลตำรวจ ผู้โด่งดังในโลกออนไลน์ โดย หมออรัณ เล่าที่มาของการมาเป็นหมอสูติว่า สมัยที่เป็นนักศึกษาแพทย์ มีความประทับใจระหว่างที่ปฏิบัติงานแผนกสูตินรีเวช เนื่องจากหมอสูติเป็นวิชาที่ต้องดูแล 2 ชีวิต คือ คุณแม่และคุณลูก การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาอย่างสมบูรณ์แบบถือเป็นความสุข

นอกจากนี้ คุณหมอยังเล่าเคสผ่าตัด มะเร็งรังไข่ ระยะที่ 4 ที่ประทับใจให้ฟังว่า คนไข้มาหาหมอด้วยอาการใกล้เสียชีวิต หายใจไม่ออก ต้องเข้าไอซียู ปรากฏว่าคนไข้มาโรงพยาบาลครั้งแรก ซึ่งไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ซึ่งถ้าคนไข้ไปรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่มีความพร้อม อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่โชคดีที่คนไข้มาโรงพยาบาลที่มีความพร้อมสูง หมอกับญาติจึงตกลงกันว่าให้ยาเคมีบำบัดก่อน ปรากฏว่าคนไข้ตอบสนองดี จากวันนั้นถึงปัจจุบันก็อยู่มาแล้ว 5 ปี สุขภาพแข็งแรงดี

...

สำหรับ มะเร็งรังไข่ระยะที่ 4 คือ มะเร็งได้กระจายไปสู่อวัยวะอื่นแล้ว ทั้ง สมอง หรือ ปอด โดยตำราแพทย์คนไข้มักจะมีอายุขัยได้ไม่ถึง 5 ปี โดยส่วนใหญ่ประมาณ 60 % จะเสียชีวิตในช่วง 2-3 ปี ที่วินิจฉัยเจอโรค แต่เคสนี้คนไข้มีกำลังใจดี หมอมักจะพูดว่า โรคมะเร็งกลัวความสุข เคสนี้คนไข้มองโลกสวยงาม ดูแลตัวเองอย่างดี จึงมีสุขภาพแข็งแรง 

ส่วนเคสยากที่สุดตั้งแต่เคยเจอ คือเคสที่เป็นเนื้องอกในมดลูกขนาดใหญ่ เนื่องจากคนไข้เป็นโรคทางจิตเวช คือกลัวการตรวจภายในมาก เมื่อรู้ว่าเป็นเนื้องอกก็ซ่อนตัวอยู่ในบ้านมานาน 10 ปี กระทั่งมาพบแพทย์อีกที เนื่องจากหายใจไม่ออก เพราะเนื้องอกใหญ่มากประมาณ 40 เซนติเมตร สุดท้ายถึงจะยอมผ่าตัด โดยการผ่าตัดผ่านไปประมาณ 4 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ ซึ่งเสียเลือดไปประมาณ 3 ลิตร หลังผ่าตัดต้องเข้าไอซียูอีก 3 วัน แต่ก็ผ่านมาด้วยดี ปัจจุบันคนไข้รายดังกล่าวแข็งแรงดี

14 คำถามเรื่องลับ กับ "หมออรัณ"

1. ก่อนตรวจภายใน ต้องโกนขนบริเวณน้องสาว จริงไหม?

  • ไม่ต้องครับ เพราะเวลาที่หมอตรวจ ไม่ได้สนใจบริเวณนั้น คุณหมอจะตรวจเข้าไปภายใน ไม่ต้องแวกซ์มาก่อนก็ได้ครับ

2. จริงหรือไม่ ที่ห้ามมีเพศสัมพันธ์ก่อนการตรวจภายใน?

  • คำแนะนำคือ จริงๆ ควรงดสัก 2-3 วัน เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนมาตรวจกับหมอสูติ อาจจะมีบาดแผล เช่นร่องรอยฉีกขาด คราบเลือด หรือว่าน้ำอสุจิ ทำให้การตรวจภายใน ตรวจผิดพลาดได้

3. การขมิบ ช่วยให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม จริงหรือไม่?

  • เป็นคำถามที่สุภาพสตรีที่แต่งงานแล้ว ถามมาเยอะมาก ความจริงคือ บริเวณช่องคลอดของผู้หญิงมีกล้ามเนื้อ เหมือนกล้ามแขนเรา ถ้าเราออกกำลังกาย ยกเวตบ่อยๆ ก็จะมีความฟิตแอนด์เฟิร์มบริเวณนี้ บริเวณนั้นก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้ช่วยมากนัก ขึ้นอยู่กับสรีรวิทยาของแต่ละคนด้วย

4. การคลอดธรรมชาติ ทำให้น้องไม่ฟิตจริงหรือไม่?

  • บางคนอาจจะเชื่อว่าทำให้ช่องคลอดหย่อนคล้อย แต่ในความเป็นจริงไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะว่า หลังคลอดร่างกายเราจะมีการปรับสภาพหรือการรีโมเดลลิ่ง ทำให้ช่องคลอดของคุณแม่ กลับไปเป็นเหมือนเดิม

5. ถ้าขี่จักรยานกระแทกแรง หรือใช้สายฉีดน้ำแรง ทำให้พรหมจารีขาดจริงหรือไม่?

  • ทางทฤษฎีอาจจะเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้น เพราะเยื่อพรหมจารีอยู่ลึกเข้าไปจากปากช่องคลอดประมาณ 3-4 ซม. ซึ่งน้ำอาจจะฉีดเข้าไปไม่ถึง และการขี่จักรยาน การกดเบียดเป็นเพียงภายนอก ไม่มีอะไรสอดใส่เข้าไปด้านใน ดังนั้นการออกกำลังกายเยอะๆ อาจจะไม่เกี่ยวกับการขาดของเยื่อพรหมจารี

6. การตรวจภายในทำให้เสียบริสุทธิ์ จริงหรือไม่?

  • เนื่องจากการตรวจภายในต้องมีการใส่นิ้วของคุณหมอ และเครื่องมือที่ลักษณะคล้ายปากเป็ดเข้าไปในช่องคลอด สุภาพสตรีที่ยังบริสุทธิ์อยู่จะทำให้เยื่อพรหมจารีฉีกขาด แต่ในทางปฏิบัติ มีอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็กมาก ใช้ในการตรวจเด็กทารกก็ได้ แต่ก็แน่นอนว่า เยื่อพรหมจารี ฉีกขาดไปเล็กน้อย

7. การที่พุงไม่ยุบสักที มีโอกาสแค่ไหนที่หนูจะมีเนื้องอก

  • ผู้หญิงมากมาย สงสัยว่าหน้าท้องที่ยื่น เป็นเนื้องอก หรือว่าอ้วน ความเห็นส่วนตัวไม่สามารถตอบได้ แนะนำว่าควรอัลตราซาวนด์ดูว่าหน้าท้องที่ยื่นเป็นไขมัน หรือเนื้องอก ซึ่งร้อยละ 10 เท่านั้นที่มีเนื้องอก อีกประมาณ 90% มักจะเป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของคนไข้เอง

8. นับหน้า 7 หลัง 7 ช่วยให้หนูไม่ท้องจริงหรือเปล่า

  • การนับหน้า 7 หลัง 7 เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่เราใช้ในการคุมกำเนิด แต่อัตราการตั้งครรภ์สามารถเกิดได้ถึง 15% ซึ่งปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงยาคุมกำเนิด ถุงยางอนามัย ยาฝังคุมกำเนิด แนะนำว่า ใช้วิธีอื่นจะดีกว่า

9. เครื่องดื่มประเภทนมเปรี้ยว ช่วยทำให้น้องสาวไม่มีกลิ่นจริงหรือไม่

  • ในทางการแพทย์นั้น อาจจะไม่เกี่ยวมากนัก เนื่องจากว่าลำไส้จะย่อยนมเปรี้ยวจนไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้นกว่าจะไปถึงช่องคลอด เพื่อไปฆ่าเชื้อในช่องคลอด อาจจะยิ่งน้อยไปอีก การกินนมเปรี้ยวจะช่วยให้น้องสาวมีกลิ่นลดลงหรือไม่ จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกัน

10. ยาอกฟู รูฟิต มีผลกระทบต่อการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งหรือไม่

  • ปัจจุบันในโลกออนไลน์ มีการซื้อขายยา อกฟู รูฟิต มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ยาพวกนี้จะประกอบด้วยสารสเตียรอยด์ และฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้คนไข้ที่รับประทานยากลุ่มนี้เข้าไป เกิดอาการซู่ซ่าในร่างกาย เต้านมเพิ่มขนาดนิดนึง มีความชุ่มชื้นในช่องคลอดมากขึ้น จึงอาจเป็นเรื่องของความรู้สึกว่ามันดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง ทางการแพทย์ ไม่แนะนำ เพราะการที่ได้รับฮอร์โมนเข้าไป หรือสเตียรอยด์เข้าไป อาจจะไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งบางชนิด หรืออาจเกิดโรคบางอย่าง สำหรับผู้ที่จะใช้ยากลุ่มนี้ควรจะมีสูตินรีแพทย์ คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด


11. บริสุทธิ์ กับ ไม่บริสุทธิ์ อันไหนเสี่ยงมะเร็งมากกว่ากัน?

  • การเกิดมะเร็งปากมดลูก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งติดต่อมาจากเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีคู่นอนหลายคน จะมีการเสี่ยงในการรับเชื้อ HPV มาเยอะกว่าสุภาพสตรีที่บริสุทธิ์ ก็จะมีคำถามว่า แล้วผู้หญิงที่บริสุทธิ์เลยเหมือนแม่ชี มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ไหม คำตอบคือเป็นได้ เนื่องจากการเกิดมะเร็งปากมดลูกบางชนิดไม่จำเป็นต้องติดเชื้อ HPV ก็ติดเชื้อได้

12. ถ้าในครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง จะเป็นด้วยหรือเปล่า

  • จริงๆ แล้วมะเร็งบางชนิดถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ แต่จะปรากฏอาการเมื่ออายุถึงวัยหนึ่งเท่านั้น ก็จะมีมะเร็งอยู่ 4 ชนิด ที่มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก และมะเร็งลำไส้ ถ้ามีญาติที่เป็นมะเร็งทั้ง 4 อย่างนี้ ควรจะต้องรีบไปพบแพทย์ แล้วตรวจคัดกรองว่ามีโรคมะเร็งกลุ่มนี้หรือเปล่า

13. ล้างน้องสาว (อวัยวะเพศหญิง) แค่ไหน ถึงจะเรียกว่าพอดี?

  • สำหรับสุภาพสตรีบางท่าน ทำความสะอาดน้องสาวอย่างยอดเยี่ยมจะปลอดภัย จริงๆ แล้วเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะในช่องคลอดของผู้หญิงควรจะต้องมี แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสอยู่บ้าง เนื่องจากต้องใช้เป็นกลไกป้องกันการติดเชื้อบางชนิด ในกรณีที่สวนล้างด้วยน้ำยา หรือล้างมากจนเกินไป จะทำให้สูญเสียแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสชนิดดี ทำให้แบคทีเรียชนิดก่อโรคมันเติบโตขึ้น จนกระทั่งเกิดโรคในช่องคลอดได้

14. สถานภาพสมรสสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งหรือเปล่าคะ

  • สุภาพสตรีที่มีสามี แต่งงาน แล้วมีลูก การตั้งครรภ์จะทำให้รังไข่ได้มีการพักผ่อนประมาณ 9 เดือน ไม่เกิดการตกไข่ ดังนั้นแผลที่บริเวณผิวของรังไข่จะน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก คนไข้ที่มีลูกแล้วจะลดโอกาสการเกิดมะเร็งรังไข่ ปัจจุบันในตำราแพทย์เขียนแล้วว่าผู้หญิงที่มีลูกมีโอกาสเกิดมะเร็งรังไข่น้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก ดังนั้นเชียร์ให้สาวๆ รีบแต่งงานแล้วมีลูกกัน


อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนผู้หญิงทุกคน ควรเข้าพบหมอตรวจสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจภายในประจำปี ถ้าตรวจแล้วปกติเป็นโชคดีไป แต่ถ้าตรวจแล้วเจอโรคบางอย่าง ก็จะป้องกันการเกิดโรคในอนาคตได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีลูกน้อยจะได้มีความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อได้อยู่กับลูกไปนานๆ.