สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งพบเห็นเหตุการณ์มาด้วยตัวเอง ในขณะที่ผมนั่งรอปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความอยู่ในบัลลังก์ของศาลแห่งหนึ่ง ศาลท่านได้เรียกคู่ความคดีอื่น ซึ่งเป็นคดีอาญา เพื่อสอบถามว่ามีคู่ความฝ่ายใดมาบ้าง พร้อมแล้วหรือยัง เนื่องจากศาลจะเปิดคำพิพากษาของศาลฎีกาอ่านให้คู่ความฟัง แต่ด้วยเป็นคดีอาญา ตามกฎหมายกำหนดให้ศาลจะต้องเปิดคำพิพากษาอ่านต่อหน้าจำเลยทุกคนในคดี

ต่อมาทนายจำเลยท่านหนึ่งได้แถลงต่อศาลว่าจำเลยที่สี่ในคดีดังกล่าว ไม่สามารถมาศาลได้ เนื่องจากป่วยกะทันหัน พร้อมกับยื่นใบรับรองแพทย์ กรณีเป็นเหตุสุดวิสัย จึงขอความกรุณาให้ศาลได้โปรดอนุญาตเลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไปสักนัดหนึ่ง เมื่อศาลได้พิจารณาใบรับรองแพทย์แล้วจึงอนุญาตให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป

จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงทำให้ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า หากกรณีที่คู่ความนำใบรับรองแพทย์ปลอม หรือมีการแก้ไขใบรับรองแพทย์ หรือแพทย์ออกใบรับรองแพทย์ให้จริง แต่แพทย์มิได้มีการตรวจสุขภาพแต่อย่างใด ผลออกมาจะเป็นอย่างไร รวมไปถึงลูกจ้างที่มักจะนำใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อนายจ้าง เพื่อขอลาหยุด โดยอ้างเหตุว่าป่วย แต่หากปรากฏว่า มีการแก้ไขใบรับรองแพทย์ หรือเป็นใบรับรองแพทย์ปลอม หรือแพทย์ออกให้โดยไม่ได้ตรวจสุขภาพจริง จะมีผลอย่างไรบ้างในทางกฎหมาย

การแก้ไขใบรับรองแพทย์ และใช้ใบรับรองแพทย์ที่แก้ไขดังกล่าว ถือว่ามีความผิดในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 หรือ 265 ประกอบ มาตรา 268 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท

หากนำใบรับรองแพทย์ปลอมดังกล่าว ไปยื่นต่อศาล อาจจะมีความผิดข้อหาละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 33 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 500 บาท

...

ในกรณีที่ลูกจ้างนำใบรับรองแพทย์ปลอมไปยื่นแสดงต่อนายจ้าง เพื่อขอลาหยุด หรือ ขอลาหยุดเพิ่ม นอกจากจะเป็นความผิดทางอาญาในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมดังกล่าวข้างต้น กรณีนี้ยังถือเป็นความผิดร้ายแรงต่อนายจ้าง นายจ้างมีสิทธิ์ที่จะเลิกจ้างได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแต่อย่างใด

ในส่วนข้าราชการนำไปรับรองแพทย์ปลอมไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชา ก็อาจจะมีความผิดในข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารพยาน รวมถึงอาจจะมีโทษทางวินัยตามมาด้วย

เทียบเคียง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2275/2533 จำเลยใช้ใบรับรองแพทย์ที่ไม่มีชื่อผู้รับการตรวจจากแพทย์ซึ่งเป็นเอกสารราชการปลอมแสดงต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อประกอบรายงานการชี้แจงที่จำเลยขาดราชการ 3 วัน เพื่อให้จำเลยพ้นผิดทางวินัย การใช้เอกสารปลอมดังกล่าวจึงน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นคือผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ต้องบันทึกรายงานผลการชี้แจงของจำเลยเสนอขึ้นไปตามลำดับชั้น จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2334/2523 การที่โจทก์แก้ไขใบรับรองแพทย์ซึ่งต้องยื่นต่อจำเลยตามระเบียบ เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาอนุญาตให้โจทก์ลาป่วย โดยเพิ่มวันที่แพทย์ให้หยุดพักรักษาตัวขึ้นอีก 1 วัน และได้ยื่นใบรับรองแพทย์ที่แก้ไขแล้วต่อจำเลยนั้น เป็นความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม การกระทำของโจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(1) ตอนท้าย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ได้

ในส่วนของแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ โดยที่ไม่ทำการตรวจสุขภาพจริง จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 ผู้ประกอบการงานในวิชาแพทย์ ทำคำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่นำเอกสารดังกล่าวไปใช้ก็จะต้องรับโทษเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ การที่แพทย์ออกใบรับรองแพทย์โดยไม่ได้ทำการตรวจจริง ยังมีความผิดเกี่ยวกับข้อบังคับแพทยสภาที่ว่าด้วยการรักษามารยาทแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526 หมวดที่ 3 ข้อที่ 9 กำหนดว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะต้องไม่ออกใบรับรองอันเป็นเท็จ โดยตั้งใจหรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาชีพ ซึ่งอาจจะถูกลงโทษถึงขั้นพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้กับผู้ที่กำลังคิดจะปลอมใบรับรองแพทย์ หรือขอให้แพทย์ออกใบรับรองแพทย์อันเป็นเท็จ ควรตระหนักถึงผลที่จะติดตามมาในอนาคต ซึ่งกรณีนี้จะมีความผิดในทางอาญา และอาจจะต้องถูกไล่ออกจากงาน สร้างความเดือดร้อนให้กับท่านและครอบครัว ส่วนแพทย์เองก็มีความผิดในทางอาญา และอาจจะถึงขั้นถูกเพิกถอนใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมก็เป็นไปได้ครับ

สำหรับท่านที่มีคำถาม ข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย และต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK ได้เลยครับ