โรงพยาบาลที่ยะลา แจงแล้ว กรณีสาวโพสต์ ปล่อยผู้ป่วยแซงคิวพ่อ รอนานจนอาการไม่ดี กระทั่งความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ จนหยุดเต้น ปั๊มหัวใจไม่ขึ้น เสียชีวิต
จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Jiratchaya Rangsaritwirachot ได้โพสต์ภาพขณะพาพ่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา แต่อ้างว่า ถูกแซงคิวเข้ารักษา ต้องรออยู่ที่จุดคัดกรองด้านนอก กระทั่งเห็นว่า พ่อไม่ไหวแล้ว จึงเดินไปถามพยาบาล ซึ่งอ้างว่าให้คนที่แซงเข้าก่อน เพราะความดันต่ำกว่า จากนั้นมีการวัดความดันพ่ออีกครั้ง ก่อนจะรีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน
ตอนนั้น พ่อตัวเย็นหมดแล้ว จะเป็นลมแล้ว ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาดู เจาะเลือด จากนั้นตนออกมานั่งรอข้างนอก จนหมอเรียก มาบอกว่า พ่อต้องเข้าไอซียู เพราะความดันต่ำลงเรื่อยๆ จนหัวใจเต้นผิดปกติ และหยุดเต้นไป หมอพยายามช่วยปั๊ม 40 กว่านาที ก่อนจะเสียชีวิต
(อ่านโพสต์ต้นฉบับ ที่นี่)
จากนั้นผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังผู้โพสต์ ทราบชื่อ น.ส.จิรัชญา รังสฤษฏิ์วีระโชติ อายุ 41 ปี ลูกสาวของ นายกมลชัย รังสฤษฏิ์วีระโชติ อายุ 72 ปี ผู้เสียชีวิต ซึ่งขณะนี้ศพตั้งอยู่ที่สมาคมปาดไกว
น.ส.จิรัชญา รังสฤษฏิ์วีระโชติ เล่าว่า วันเกิดเหตุคือ วันอาทิตย์ ที่ 7 ก.ค. ช่วงบ่าย ตนได้พาพ่อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบตง เนื่องจากพ่อเป็นโรคชิคุนกุนยา เจ็บข้อเดินไม่ได้ แต่พอวันที่ 2 ก็สามารถลุกขึ้นได้ เพราะได้ต้มยาหม้อให้ทาน แต่พอวันที่ 3 ก็เกิดอาการเพลีย ตนจึงพาไปโรงพยาบาล
...
พอถึงจุดคัดกรองก็รอคิว หลังจากวัดความดันเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งคอย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ตรวจคนที่มารอคิวต่อไป และนำเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมพ่อถึงไม่ได้เข้า จะได้เข้าเมื่อไหร่ ตอนถามเจ้าหน้าที่ ก็จับหน้าพ่อรู้สึกว่า พ่อตัวเย็น เสื้อเปียก แต่พ่อไม่พูดอะไร นั่งหลับ ตนจึงเข็นพ่อไปที่เจ้าหน้าที่ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็วัดความดันอีกครั้ง ก็พบว่าความดันต่ำ จึงได้นำเข้าห้องฉุกเฉินไป และได้เสียชีวิต ช่วงเวลา 17.00 น. ทำให้ตนมีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่บริการล่าช้า จึงทำให้พ่อเสียชีวิต จึงได้นำรูปพร้อมเขียนข้อความลงเฟซบุ๊ก เพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขบริการ
ด้าน นพ.ยุทธนา รุ่งธีรานนท์ นายแพทย์ชำนาญการ อายุรแพทย์โรงพยาบาลเบตง ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ได้ให้ข้อมูลว่า หลังจากได้รับตัวคนไข้จากห้องฉุกเฉิน มาอยู่ในห้องไอซียู ประเมินอาการโดยรวม คนไข้อาการยังไม่คงที่ มีอาการมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นเร็ว ประมาณ 130 ครั้ง ต่อนาที ความดันต่ำ ทางแพทย์ก็รีบช่วยดูแลรักษาอย่างเต็มที่ ส่วนสาเหตุที่คนไข้เสียชีวิต เนื่องจากมีภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ประกอบกับคนไข้มีความดันลดลง
ด้าน แพทย์หญิงปัทมพันธ์ อนันตาพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง จ.ยะลา ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า หลังจากมีข่าว ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการเรียกประชุมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ พร้อมทั้งตรวจสอบเอกสารต่างๆ กล้องวงจรปิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อหาสาเหตุ แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เจ้าหน้าที่คัดกรอง ซึ่งเป็นพนักงานเวชกิจฉุกเฉิน ได้ตรวจอาการผู้ป่วยก่อนเพื่อแบ่งระดับความหนักเบาของผู้ป่วย หากผู้ป่วยที่มีอาการหนักก็จะนำเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อให้แพทย์ทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ในกรณีที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จุดคัดกรองได้ตรวจวัดความดันของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว ซึ่งความดันขณะนั้นอยู่ที่ 144/ 80 ซึ่งถือว่าปกติ จึงจัดเป็นผู้ป่วยในโซนสีเขียว คือ เจ็บป่วยเล็กน้อย จึงได้ให้นั่งคอยตามคิว ส่วนที่ว่ามีการแซงคิว เนื่องจากมีผู้ป่วยอีกคนที่มาทีหลัง แต่ตรวจวัดความดันพบว่าความดันต่ำ อยู่ที่ 75/38 ซึ่งถือว่ามีอาการหนักกว่า เป็นผู้ป่วยในโซนสีชมพู คือ เจ็บป่วยรุนแรง เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวเข้าห้องฉุกเฉินก่อน
ส่วนที่มีภาพถ่ายว่า ผู้ป่วยที่เสียชีวิต มีความดันระดับต่ำ อยู่ที่ 75/38 ก็ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็น ค่าการวัดความดันของผู้ป่วยที่เจ้าหน้าที่ได้นำเข้าห้องฉุกเฉินไปก่อนหน้านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้กดรีเซตเครื่อง ส่วนที่ว่าบริเวณจุดคัดกรอง ไม่ใช่พยาบาลนั้น สำหรับเหตุการณ์นี้ เนื่องจากภายในห้องฉุกเฉินก็มีผู้ป่วยอาการหนักอยู่ วันเกิดเหตุ พนักงานเวชกิจฉุกเฉินโรงพยาบาลเบตง ซึ่งมีหน้าที่ให้การช่วยเหลือคนไข้หรือผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ เช่น การให้น้ำเกลือ การใช้ท่อช่วยหายใจ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การดูแลคนไข้บนรถพยาบาลฉุกเฉินจนถึงโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เรียนจบทางด้านเวชกิจฉุกเฉิน จะประจำอยู่ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล และในบางครั้ง ออกมาช่วยเหลือผู้ป่วยอาการหนักหรือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุด้วยนอกโรงพยาบาลด้วย จึงได้มาช่วยที่บริเวณจุดคัดกรอง จึงทำให้ญาติคนไข้อาจไม่เข้าใจ ว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่.
ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Jiratchaya Rangsaritwirachot