“ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” หรือ “Advancing Partnership for Sustainability”
หัวใจสำคัญของ การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 30 (30thASEAN Senior Officials Meeting on the Environment : 30th ASOEN) จัดโดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในนามของประเทศไทย ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 10-12 ก.ค.2562
การประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมคณะกรรมการอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ระดับปลัดกระทรวงหรือผู้แทนในตำแหน่งที่เทียบเท่า ซึ่งการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ ตรงกับปีที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จะผลักดัน วาระสำคัญของการเป็นประธานอาเซียน นั่นก็คือความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัญหาข้ามพรมแดน

การประชุมครั้งนี้ จะมีการพิจารณาความร่วมมือต่างๆใน 7 สาขาหลัก ได้แก่ 1.การอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ 2. สิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง 3.การจัดการทรัพยากรน้ำ 4.สิ่งแวดล้อมเมืองที่ยั่งยืน 5.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6.การจัดการสารเคมีและของเสีย และ 7.สิ่งแวดล้อม ศึกษาการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืนของประเทศอาเซียน และจะมีการประชุมกลุ่มย่อยเป็น อาเซียน+ญี่ปุ่น, อาเซียน+3 คือ ญี่ปุ่น จีนและเกาหลีใต้ และอาเซียน+8 ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และรัสเซีย
...
“อาเซียน+ญี่ปุ่น จะเน้นในเรื่องของเมืองยั่งยืน พื้นที่สีเขียวและขยะทะเล ที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจ ส่วนอาเซียน+3 คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีนั้น จีนก็สนใจเรื่องของเมืองยั่งยืน เมืองที่ปลอดมลพิษ ขณะที่เกาหลีใต้ สนใจเรื่องของมลภาวะ การจัดการของเสีย ขณะที่อาเซียน+8 ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และรัสเซีย จะมาเจรจาความร่วมมือต่างๆใน 7 สาขาหลักที่แต่ละประเทศสนใจ” ดร.รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ ผอ.กองการต่างประเทศ ทส. ในฐานะหน่วยงานหลักที่จัดประชุม กล่าวถึงแนว ทางการประชุม

ขณะที่ นายอดิศร นุชดำรงค์ รองปลัด ทส. หนึ่งในผู้แทนของประเทศไทยที่ร่วมประชุม กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่อาเซียนจะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบ คือร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนต่อที่ประชุมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 25 ที่ยกร่างโดยประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน และรายชื่อเพื่อรับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียน โดยประเทศไทยเสนออุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จ.ตรัง และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี ขึ้นทะเบียนเป็น “อุทยานมรดกอาเซียน”
นอกจากนี้ ยังได้เสนอโรงเรียนเพื่อรับรางวัล “โรงเรียนสิ่งแวดล้อมสีเขียว” โดยระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนบ้านโนนสำราญ-ยางเรียน จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นต้นแบบ “อีโค สกูล” หรือ โรงเรียนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่วนระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนควนโดนวิทยา จ.สตูล โรงเรียนต้นแบบของความพอเพียงและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ที่สำคัญประเทศไทยจะเสนอตัวเป็น “ประธานคณะทำงานอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง” ที่จะทำหน้าที่ในระหว่างปี 2563-2565 ด้วย โดยจะมุ่งดำเนินการเรื่องของการจัดการปัญหาขยะทะเล
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะรายงานให้ที่ประชุมได้รับทราบถึงข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมในโอกาสที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ปี 2562 ได้แก่ ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษด้านขยะทะเล เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2562 และผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนสมัยพิเศษเรื่อง การป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 21—22 มี.ค.2562 ที่ จ.เชียงใหม่ รวมถึงผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมภายหลังการประชุมรัฐมนตรีดังกล่าว

“การประชุมครั้งนี้จะเป็นแบบกรีนมีตติ้ง (Green Meeting) ลดการใช้กระดาษ ไม่มีเอกสารแจกที่เป็นกระดาษ ลดการใช้วัสดุที่สิ้นเปลืองเพื่อลดขยะ โดยจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจว่าทั้ง 5 วัน มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณเท่าไหร่ เพื่อที่จะมีการชดเชยด้วยการปลูกป่าทดแทน ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าการประชุมทั้ง 5 วัน จะมีการปล่อยคาร์บอนฯ ประมาณ 85 ตัน ดังนั้น จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อชดเชย โดยจากการคำนวณจะต้องปลูกต้นไม้ ประมาณ 87 ไร่ ซึ่งการประชุมแบบกรีนมีตติ้งจะเป็นครั้งแรกของประเทศไทย” นายอดิศร กล่าว
“ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม” มองว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยในการผลักดันงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มีความสำคัญ และเกิดความร่วมมือระดับอาเซียนและขยายผลต่อไปให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ



เพราะประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน และหากวาระของประเทศไทยผ่านการพิจารณาและรับรอง
นั่นย่อมหมายถึงประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียนไปโดยปริยาย
และเป็นการพิสูจน์ศักยภาพในการเป็นหัวหอกสานนโยบายโดยเน้นความ “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสิ่งแวดล้อมอาเซียน.
ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม