หมอนิติเวช ชี้ "คดีน้องหญิง" ควรวิเคราะห์การทำสำนวนบนพื้นฐานพยาน หลักฐานที่ถูกต้อง หลังศาลพิพากษายกฟ้อง "อ๊อฟกับเป็ด" ผู้ต้องหาคดีน้องหญิงดับปริศนา หลังตกจากรถบรรทุก เนื่องจากโจทก์พิสูจน์ให้หายสงสัยไม่ได้ว่าน้องหญิงถูกตีที่ศีรษะด้วยอะไร 

จากกรณี นางสาวนรีกานต์ ยาวิราช หรือน้องหญิง อายุ 19 ปี เสียชีวิตปริศนา หลังกลับจากเที่ยวสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในอยุธยา โดยมีนายสุรพล ดาราคำ หรืออ๊อฟ อายุ 23 ปี คนขับรถเทรลเลอร์พาไปส่งบ้าน พร้อมอ้างว่าน้องหญิงกระโดดลงจากรถจนเสียชีวิต ล่าสุดศาลอยุธยาพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์พิสูจน์ให้หายสงสัยไม่ได้ว่าน้องหญิงถูกตีที่ศีรษะด้วยอะไร ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ (ยกฟ้อง "อ๊อฟและเป็ด" คดีน้องหญิง เหตุโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าถูกตีด้วยอะไร)

ล่าสุด นายแพทย์กฤติน มีวุฒิสม นายแพทย์ชำนาญการสาขานิติเวช ได้วิเคราะห์คดีน้องหญิง ไว้ดังนี้  1.การสั่งฟ้องของโจทก์ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน มีการสั่งฟ้องข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา โดยหลักฐานหลักๆ คือการใช้ความเห็นของแพทย์ผู้ผ่าศพ ที่ยืนยันว่าการบาดเจ็บดังกล่าว เกิดจากการถูกตีด้วยของแข็งไม่มีคม ประกอบกับการที่ผู้ตายอยู่กับจำเลยสองคนก่อนเสียชีวิต ซึ่งการใช้หลักฐานจากความเห็นของแพทย์ตรงนี้ ที่เป็นปัญหา โดยจะชี้แจงเหตุผลให้ฟังอีกที

2. เคสนี้มีผู้เชี่ยวชาญของตำรวจเองที่เห็นแย้งในตอนที่ลงพื้นที่ คือ ผู้การพิสูจน์หลักฐานกลาง และผู้การนิติเวชตำรวจ แต่นายตำรวจใหญ่ที่ลงมากำกับเองในตอนนั้น ไม่สนใจ โดยมีการทักท้วงว่า ควรส่งศพผ่าพิสูจน์อีกครั้งนึง แต่กลับบอกว่า คนละสังกัดกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จะไปสั่งได้อย่างไร ทั้งที่จริงๆ เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว

...

3. กลับมาที่ปัญหาเรื่องความเห็นของแพทย์ เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดจากความเห็นที่ไม่ถูกต้องของแพทย์ ดังเช่นเคสในอดีต เช่น คดีห้างทอง ธรรมวัฒนะ คดีสุนทร วงค์ดาว คดีวัชรี สมปอง คดีน้องเมย ในเคสทั้งหมดนี้ แพทย์คนที่ผ่าพิสูจน์น้องหญิงคือคนที่ให้ความเห็นในเคส สุนทร วงค์ดาว และน้องเมย ซึ่งเคสสุนทร วงค์ดาว หากอยากรู้ให้ไปหาข้อมูลดูว่าแพทย์ให้ความเห็นผิดพลาดอย่างไร (คดีนักแม่นปืน)

4. เมื่อโจทก์ทำสำนวนโดยใช้ความเห็นของแพทย์ที่ไม่ถูกต้องเป็นหลักฐานส่งฟ้อง แทนที่จะกลับไปหาข้อมูลที่ถูกต้องมากกว่ามาใช้ในสำนวน ซึ่งจะได้ใช้เพื่อสืบสวน สอบสวนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเคสต่อไป หากมีการนำสืบถึงความเห็นที่ผิดพลาดของแพทย์นั้นเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนานั้นขาดพยานหลักฐานสำคัญไปเลย ดังนั้นการตั้งข้อกล่าวหาโดยอ้างอิงจากพยานหลักฐานที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่น่าตำหนิ

5. ประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการบาดเจ็บในเคสนี้เกิดจากกลไกใด ระหว่างการถูกตีที่ศีรษะซึ่งวัตถุเคลื่อนที่มากระแทกศีรษะ ตามที่โจทก์สั่งฟ้อง และกล่าวอ้างจากความเห็นของแพทย์ท่านนี้ กับการตกรถแล้วศีรษะมากระแทกกับพื้นนั้น ต้องพิจารณาจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และนิติเวช โดยจะแจงว่าผลทางนิติวิทยาศาสตร์นั้นพบอะไรบ้าง

5.1 การบาดเจ็บของหนังศีรษะ พบว่าเป็นการฟกช้ำที่ไม่มีลักษณะจำเพาะเจาะจงใดๆ กับวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นวัตถุที่พื้นที่หน้าตัดแคบมากระแทก มักจะทำให้เกิดการฉีกขากของหนังศีรษะมากกว่า

5.2 การบาดเจ็บของกะโหลก พบว่าเป็นลักษณะแตกร้าว ซึ่งมีการแตกร้าวหลายรอย ไม่ใช่การแตกยุบ ซึ่งการแตกร้าวดังกล่าวสามารถเกิดได้จากการที่ศีรษะกระแทกกับวัตถุแข็งหน้ากว้างด้วยความแรงระดับนึง แต่การแตกยุบนั้นจะเกิดในกรณีศีรษะกระแทกกับวัตถุหน้าตัดแคบๆ เช่น ค้อน โดยจะแตกยุบเข้าได้กับรูปร่างของวัตถุ

5.3 การบาดเจ็บภายในกะโหลก ในเคสนี้พบการฟกช้ำของสมองด้านตรงข้ามจุดกระทบ พบจุดเลือดออกในเนื้อสมองซึ่งคือการบาดเจ็บของใยประสาทอย่างรุนแรง และพบเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะพบจากกลไกการบาดเจ็บในลักษณะศีรษะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง และกระแทกกับของแข็งและมีแรงหน่วงนำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อสมองดังกล่าว การบาดเจ็บนี้จึงไม่เข้ากับการถูกตีที่ศีรษะ ซึ่งเป็นการที่ศีรษะถูกตีด้วยวัตถุที่เคลื่อนที่มากระแทก

5.4 พบบาดแผลถลอกครูดหลายตำแหน่งบริเวณแขนขา และลำตัว ซึ่งบาดแผลเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ผิวหนังเคลื่อนที่แล้วครูดกับวัตถุ พบได้บ่อยในการตกจากที่สูง และอุบัติเหตุจราจร

5.5 พบบาดแผลฟกช้ำรูปร่างที่จำเพาะต่อวัตถุมีรูปร่างเป็นรูปตาราง ขนาดและรูปร่างนั้นเข้าได้กับบันไดพักเท้า

5.6 ตรวจพบ DNA ของผู้ตายที่บันไดพักเท้าข้างซ้าย ซึ่งสนับสนุนว่าบาดแผลด้านบนดังกล่าวน่าจะเกิดจากการที่ร่างกายตกลงมากระแทกกับบันไดจริงๆ

6.ซึ่งจากผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ดังกล่าวนั้นชี้ให้เห็นว่าการบาดเจ็บในเคสนี้นั้น เข้าได้กับการตกลงมากระแทกกับบันไดพักเท้า และกระแทกกับพื้น การทำสำนวน หรือสืบสวนสอบสวนควรหาคำตอบเพิ่มเติมว่า ตกลงมาจากรถได้อย่างไรมากกว่า ดังนั้นต้องบอกเลยว่าการทำสำนวนในเคสนี้ขัดกับพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างสิ้นเชิง สาเหตุที่ศาลยกฟ้อง ควรต้องโทษการทำสำนวนแบบนี้

7. การวิเคราะห์ว่าตกลงมาได้อย่างไรนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวน แต่ในสำนวนไม่มีการสืบในประเด็นนี้ แต่หลงประเด็นสืบไปว่าถูกตีด้วยของแข็งเพียงอาศัยความเห็นที่ไม่ถูกต้องเพียงคนเดียว ทั้งๆ ที่มีโอกาสผ่าศพรอบสอง แต่ไม่ดำเนินการ จึงทำให้ไม่มีการสืบเลยว่าตกลงมาได้อย่างไร ซึ่งนี่คือประเด็นที่ค้างคาใจผู้ติดตามข่าวมากกว่า

8. ผลการตรวจสอบประตูรถเทรลเลอร์ข้างซ้ายโดยพิสูจน์หลักฐานของโจทก์นั้นยืนยันชัดเจนว่า ประตูดังกล่าวไม่สามารถปิดได้สนิทจริง อาจเป็นสาเหตุที่อธิบายได้ว่าทำให้ตกรถเทรลเลอร์

9. จากคลิปเสียงผู้ตายที่การร้องไห้นั้น ต้องบอกว่าถอดเสียงได้ยาก จากเสียงร้องด้วยขณะพูด แต่มีการตรวจโดยเจ้าหน้าที่ของ ปอท. จำนวน 13 คน ช่วยถอดมา พบว่าหลายคนมีความเห็นว่า เป็นประโยคว่า หนูตกรถ หนูปวดหัว พี่โทรกลับหาหนูหน่อย ซึ่งมีการยืนยันโดยเจ้าหน้าที่ของ ปอท. บางส่วน หากใครอยากฟังให้ชัด ให้ใส่หูฟังฟังดู อีกอย่างหากการสนทนาดังกล่าวเกิดหลังจากที่มีการทำร้ายหรือประสงค์จะฆ่า จำเลยจะปล่อยให้ผู้ตายมีเวลาหรือโอกาสให้ได้โทรศัพท์สนทนากับปลายสายกระนั้นหรือ

10. จากข้อมูล GPS จากโจทก์พบว่าจำเลยขับด้วยความเร็วเกินกำหนด โดยมุ่งหน้าจากจุดที่รถหยุดนิ่งไปยังโรงพยาบาลการุณเวช ซึ่งหากจะประสงค์ทำร้ายให้ตายจะรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อเหตุผลใด

11. จากข้อมูลทั้งหมดโจทก์ควรสืบสวน และสอบสวน และทำสำนวนเพื่อหาเหตุผลว่าผู้ตายตกลงมาได้อย่างไรมากกว่า แต่กลับทำสำนวนข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ทำให้รูปคดีผิดเพี้ยน กลายเป็นผลเสียต่อญาติผู้ตายและจำเลยอย่างแท้จริง เหตุนี้แล้วหากจะตำหนิ ควรตำหนิพนักงานสอบสวนในคดีนี้อย่างแท้จริงที่ขาดความละเอียด รอบคอบในการสืบสวน สอบสวนและการทำสำนวน

12. นอกจากนั้นแพทย์ที่ให้ความเห็นที่ไม่ถูกต้องก็ควรถูกตำหนิที่ทำให้รูปคดีผิดเพี้ยนไป และหน่วยสังกัดของแพทย์นี้ก็ควรถูกตำหนิเช่นกันที่ไม่กำกับดูแลควบคุมคนในองค์กร ไม่ให้สร้างความเสียหายต่อประชาชนและกระบวนการยุติธรรมอย่างซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า