31 พฤษภาคม...ของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก...!!

องค์การอนามัยโลกเตือนว่าบุหรี่คร่าชีวิตผู้คนถึง 8 ล้านคนในแต่ละปี ในจำนวนนี้ 40% เสียชีวิตจากโรคปอดและอีกประมาณ 1 ล้านคน เสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ขณะที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มากกว่า 60,000 คน ต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีสาเหตุจากควันบุหรี่มือสอง

นอกจากบุหรี่จะเป็นภัยร้ายที่คร่าชีวิตประชากรโลกเป็นจำนวนมากในแต่ละปีแล้ว ยังพบว่าบุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยยังคงสูบบุหรี่ แม้ว่าจะมีตัวอย่างของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตให้เห็นเป็นจำนวนมากในแต่ละวันก็ตาม

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวระหว่างเปิดงานเสวนาการขับเคลื่อนงานช่วยเลิกบุหรี่แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่โรงแรมตะวันนา กรุงเทพฯ ว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น ทั้งโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการเสพยาสูบ หากผู้ที่ป่วยโรคเรื้อรังเหล่านี้ยังคงเสพยาสูบอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงมากขึ้น

...

อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลสถานการณ์การบริโภคยาสูบในประเทศไทยว่า จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ.2560 พบว่า ประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สูบบุหรี่จำนวน 10.7 ล้านคน หรือประมาณ 19.1% ซึ่งในภาพรวมมีแนวโน้มที่ลดลงจากปีที่ผ่านๆมา แต่ปัญหาที่พบก็คือ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในกลุ่มของเยาวชนมีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 0.3%

“ในแต่ละปีจะมีเยาวชนรายใหม่ที่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้นราว 200,000 -300,000 คน ทดแทนผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่แล้วเสียชีวิต หรือเลิกสูบไป ทำให้เยาวชนกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของตลาดธุรกิจยาสูบ ซึ่งหากตัวเลขในกลุ่มนี้ยังไม่ลดลง จะส่งผลให้ในอนาคตประเทศต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคล อันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เป็นจำนวนมาก” นพ.สุวรรณชัยบอก

นพ.สุวรรณชัย บอกว่า แนวคิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และมาตรการต่างๆเพื่อนำไปสู่การพัฒนาการควบคุมยาสูบ ให้บรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก 17 ประการ (SDGs) ในอีก 15 ปีข้างหน้า ภายใต้หลักการตามกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) นับเป็นประเด็นที่สำคัญประการหนึ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ โดยกำหนดเป้าหมายที่สอดคล้องกับเป้าหมาย The 9 global targets for NCD : 2025 คือ การลดการตายก่อนวัยอัน ควรจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อย่างหนึ่ง คือ ต้องลดอัตราการบริโภคยาสูบลงให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2568

“จากเป้าหมายที่ว่านำไปสู่การจัดทำนโยบายที่มีเป้าหมายสูงสุด 3 ประการ ที่กรมควบคุมโรคต้องทำให้สำเร็จคือ การลดอัตราการบริโภคยาสูบของประชาชน การลดปริมาณการบริโภคยาสูบต่อหัวประชากร และการทำให้สิ่งแวดล้อมปลอดควันบุหรี่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน” อธิบดีกรมควบคุมโรคบอกและว่า จากการดำเนินงานของกรมควบคุมโรค ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานช่วยผู้เสพให้เลิกใช้ยาสูบ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 3 ตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2559-2562 ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยในส่วนของการดำเนินงานช่วยผู้เสพให้เลิกสูบ พบว่า จากจำนวนผู้สูบบุหรี่ 10.7 ล้านคน มีจำนวน 7.1 ล้านคน หรือ 2 ใน 3 เป็นผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ โดยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่จำนวน 3.9 ล้านคน หรือ 54% สามารถเข้าสู่ระบบบำบัดเลิกบุหรี่ได้ และจากฐานข้อมูล Health Data Center (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุขในปีที่ผ่านมา มีผู้สูบบุหรี่จำนวนเพียง 1.4 แสนคน หรือ 4.35% เท่านั้น ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ ซึ่งแสดงว่าระบบบริการช่วยเลิกบุหรี่ของประเทศไทย ยังคงต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของการขับ เคลื่อนงานช่วยเลิกบุหรี่ รศ.สุปาณี เสนาดิสัย นายกสมาคมพยาบาลแห่งประเทศ ไทยฯ และประธานเครือข่ายพยาบาลเพื่อการควบคุมยาสูบแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า เครือข่ายพยาบาลเพื่อการควบคุมยาสูบแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการขับเคลื่อนงานช่วยเลิกบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาศักยภาพบุคลากรพยาบาลในการช่วยเลิกบุหรี่ ส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะในการควบคุมยาสูบของพยาบาล พัฒนาระบบบริการช่วยเลิกบุหรี่โดยพยาบาล สร้างองค์ความรู้เพื่อการผลักดัน นโยบาย มาตรการขยายผลและประสานภาคีเชิงระบบ

รศ.สุปาณี บอกว่า ได้จัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการเลิกบุหรี่หลายกิจกรรม อาทิ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการแบบเข้มเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการควบคุมยาสูบแก่อาจารย์พยาบาลในคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยของรัฐที่มีวิทยาลัยสมทบ, สนับสนุนทุนเบื้องต้น (Seed grant) ให้กับวิทยาลัยพยาบาลที่ร่วมโครงการบูรณาการเนื้อหาด้านการควบคุมยาสูบเข้าสู่หลักสูตรการศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรี 29 สถาบัน, จัดให้คณะพยาบาลศาสตร์ 7 คณะ ติดตามวิทยาลัยพยาบาลสมทบในการบูรณาการเนื้อหาด้านการควบคุมยาสูบเข้าสู่หลักสูตรการศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรี, จัดให้คณะพยาบาลศาสตร์อย่างน้อย 1 คณะ ขยายการดำเนินการด้านการควบคุมยาสูบครบทุกพันธกิจ และติดตามการขยายผลการดำเนินงานของสถาบันการศึกษาพยาบาลที่ดำเนินงานมาแล้ว 10 สถาบันการศึกษา รวมทั้งได้สนับสนุนให้โรงพยาบาลจัดตั้งระบบบริการ one stop service เพื่อเลิกสูบบุหรี่สำหรับผู้ป่วย เป็นจำนวน 11 แห่งด้วย

ทั้งนี้ บุหรี่นอกจากจะเป็นอันตรายต่อตัวผู้สูบเองแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อบุคคลรอบข้างที่ไม่สูบบุหรี่ด้วย การสูบบุหรี่จึงถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก.