ความรู้สึกว่า “อยากมีตัวตน ในความรู้สึกใครบ้างก็ยังดี” นี้ อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น มีคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ เขียนเข้ามาเล่าปัญหาให้ฟังว่า “...ผมเป็นคนชอบคิดมาก และน้อยใจสุดๆ เลย ตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วครับ เป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นๆ ทุกคนเลย ยกเว้นตัวเอง พอบางครั้ง เค้าทำอะไรให้รู้สึกว่าเราไม่สำคัญ ก็มาน้อยใจตัวเอง ทำไมไม่มีค่าอะไรเลย ทำอะไรให้ใครไปแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์เลย หลังจากนั้นก็ปิดกั้นตัวเองมาตลอดครับ ไม่แสดงออกอะไร ความรู้สึก ไม่รู้สึกอะไร เป็นแบบนั้นตั้งแต่อายุ 15 ปีครับ... ตอนนี้ ผมได้รับโปรเจกต์ใหญ่จากบริษัทมาให้จัดการ มันเป็นทั้งความกดดัน ความเหนื่อยล้า ทุกๆอย่างเลยครับ (ข้อกำหนดเค้าว่าหากเสร็จไม่ทันเวลา มันจะกระทบต่อบริษัท และพนักงานทั้งองค์กรครับ) ผมต้องทำอยู่แบบนั้น ทั้งวันทั้งคืน ตลอดเวลา บางครั้งก็ได้กินข้าวกับแฟนบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเวลาครับ เป็นแบบนี้อยู่ 3 เดือนเต็มๆ หลังจากนี้ ผมก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมกลับมาน้อยใจอีกแล้ว อะไรนิดหน่อย ผมก็รู้สึกแล้ว น้อยใจอีกแล้ว เสียใจอีก และตอนนี้ผมรู้สึกแย่กับมัน แย่กับทุกๆ เรื่องเลย ผมนอนไม่หลับ ผมกลัวความคิดตัวเอง กลัวว่าตัวเองจะคิดทำร้ายตัวเองอีก (ผมเคย overdose) กลัวว่าจะทำมันจริงๆ ผมอยากหนีออกไปจากจุดนี้มากๆ เลย ไม่อยากจะต้องวนเวียนกับความคิดตัวเองแบบนี้เลยครับ...”
“...พ่อกับแม่ เอาจริงๆ ตามใจผมมากนะครับ แต่เมื่อก่อน ผมเกเรมากๆ ครับ แบบที่ไม่มีใครจินตนาการออกเลยไม่เรียนหนังสือ มีเรื่องไปทั่ว การสารเสพติดต่างๆ ตั้งแต่ ม.1 จนถึง ม.3 ครับ หลังจากนั้น ผมก็ไปไกลเกินจะมีใครฉุดไว้อยู่แล้ว เป็นแบบนั้นอยู่ 1 ปี แต่ไม่แน่ใจจริงๆครับ อะไรที่ทำให้ผมหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มีความคิดอย่างเดียวคือ สงสารม้าจัง แล้วก็เลิกทุกสิ่งทุกอย่าง กลับมาเรียนหนังสือจนจบ รับปริญญาครับ ผมยอมรับจริงๆ ครับ กดดันตัวเองมาตลอดเลย เราต้องดีขึ้น เราต้องไม่ทำให้ใครผิดหวัง ม้าจะต้องไม่ร้องไห้แล้ว ผมคิดอยู่แค่นั้นเองครับ... พ่อแม่ ตามใจก็จริงนะครับ แต่ผมจะโดนปลูกฝังมาตลอดเลย มันเป็นความกดดันแปลกๆ ด้วยนิสัยไม่ชอบการบังคับ ตอนนี้ก็ยังไม่หาย แล้วที่บ้านบังคับนู่นนี่อีกครับ ผมเลยไปไกลกว่าเดิม ผมกลายเป็นคนรู้สึกโดดเดี่ยว หนีจากเพื่อน หนีจากครอบครัว มีแฟน คิดว่าแฟนอาจจะช่วยเราได้ แต่ก็ไปน้อยใจเค้าอีก ว่าผมเหลือแค่เค้านะ ไม่สนใจผมบ้างเลยหรอ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เค้าไม่ได้ผิดเลย...”
...
“...ความกดดันที่บ้าน มันเป็นความหวังดีแหละครับ เพียงแต่ว่าคำพูดของท่านกลายเป็นเหมือนออกคำสั่งมากกว่าครับ ทุกๆ คนคาดหวังให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ผมก็รักท่านมากๆ ก็พยายามทำให้ได้อย่างที่ท่านหวัง อยากให้ใครรู้สึกภูมิใจบ้าง ที่มีผมอยู่ในชีวิต ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากๆ เลย ในขณะที่ทุกๆ คนร้องขอ รวมกระทั่งที่ทำงาน ผมก็จะพยายามให้ทุกๆ สิ่ง ผมเพียงต้องการแค่มีใครภูมิใจ ดีใจ ที่รู้สึกมีผมในชีวิตบ้างครับ... ผมแค่อยากมีตัวตน ในความรู้สึกใครบ้างก็ยังดี หลายๆครั้งที่ผมถามๆ ดีใจไหม ภูมิใจไหม ที่มีผมในชีวิต เหมือนผมจะไม่เคยได้คำตอบอะไรเลยครับ...”
ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเจ้าของเรื่องที่ครูเคทขอนำมาเขียนเป็นบทความเพื่อเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านท่านอื่นที่อาจมีปัญหาคล้ายๆกัน และต้องขอชื่นชมเจ้าของเรื่องที่เข้มแข็งเอาชนะปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น เอาชนะใจตัวเอง และเลิกสารเสพติดได้เอง สุดยอดค่ะ
คนเราทุกคนต่างปรารถนาที่เป็นยอมรับของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตคือพ่อแม่ญาติพี่น้องของตัวเอง ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าเมื่อตนทำดีแล้ว บุคคลสำคัญควรจะพูดออกมาหรือแสดงออกมาให้เห็น เช่น บอกรัก ชื่นชมว่าเก่ง หรือทำดีแล้ว แต่ในความเป็นจริง คนที่อยากให้เขาทำอย่างนั้น เขาไม่ได้ทำ และเราก็มักจะเข้าใจไปว่าเขาไม่รักเรา ไม่ภาคภูมิใจในตัวเรา ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา
ครอบครัวไทยและผู้คนในสังคมไทย ไม่ได้เป็นอย่างในละครทีวีที่มีการแสดงออกทางความรักอย่างชัดเจนทั้งคำพูดและการกระทำ ถ้าเราอยากจะมั่นใจว่าพ่อแม่หรือแฟนหรือเจ้านาย รักเรา ภาคภูมิใจในตัวเรา ให้ลองสังเกตการแสดงออกในลักษณะอื่นที่อาจคิดไม่ถึงสิคะ เช่น แม้พ่อแม่ไม่ได้ชม แต่ถ้าลองสังเกตแววตาของพ่อแม่ตอนที่เราเล่าเรื่องราวดีๆอะไรให้ฟัง เราอาจจะเห็นแววตาที่ฉายแววเป็นประกายของความรักและความภาคภูมิใจออกมาค่ะ คนรุ่นพ่อแม่เราไม่คุ้นชินกับการแสดงออกของอารมณ์รักนัก จึงแสดงออกในลักษณะอื่นๆค่ะ เช่น ทำอาหารที่เราชอบให้ทาน จำได้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เอาเรื่องราวของเราไปเล่าให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงฟัง หรือคนรักของเรา บางครั้งเขาอาจจะไม่ได้บอกรักเราบ่อยๆ แต่การอ้อน การทำตัวคิกขุ หรือการทำนู่นนี่ให้เรา นั่นก็เป็นการแสดงออกของความรักนะคะ ลองคิดดู คนไม่รักกันจะทำอย่างนั้นทำไม
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรเข้าใจ คือ คนเรามักดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความกลัวโดยไม่รู้สึกตัว ทำให้วิตกจริตกับเรื่องต่างๆ เสมอ คนที่พ่อแม่รักมากที่สุดก็คือลูก พ่อแม่จึงกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับลูก หรือกลัวลูกไม่ได้สิ่งที่พ่อแม่คิดว่าดีที่สุดสำหรับลูก ความวิตกกังวลนี้ (ขอย้ำว่าไม่มีใครรู้ตัว) ทำให้พ่อแม่แสดงออกมาเป็นคำพูดสั่งสอน ที่คนเรามักไปแปลความว่าบังคับ คาดหวัง กดดัน จริงๆ แล้วคำพูดเหล่านั้น สะท้อนความกังวลของพ่อแม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับลูก แต่ลูกมักนำมาตีความว่าตัวเองไม่ดีพอ ตัวเองทำให้พ่อแม่กังวล ดังนั้นต่อให้คุณผู้อ่านทำดีหรือเก่งแค่ไหน พ่อแม่ก็ยังมีความกังวลอยู่ดีค่ะ ไม่ได้แปลว่าคุณไม่เก่ง ไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่ค่ะ ขอให้มองพ่อแม่ในมุมอีกมุมให้ได้ว่าท่านก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความกลัว ความวิตกกังวล และคุณก็ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วย คุณควรเริ่มหันมามองตนเองให้ชัดเจน รู้จักตัวเองให้ดีขึ้น รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้เป็น มองเห็นความสามารถที่แท้จริงของคุณและหัดชื่นชมความสามารถและคุณสมบัติดีๆ ของคุณ เมื่อนั้นคุณจะสามารถรักและภูมิใจในตัวเองได้โดยไม่มีเงื่อนไข และไม่ต้องรอการยืนยันจากผู้อื่นว่าเขารักและภูมิใจในตัวคุณค่ะ
ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ