กรณีดังสนั่นโซเชียลตำรวจชั้นผู้น้อยของสถานีตำรวจ ใน จ.นครศรีธรรมราช ตั้งด่านตรวจ ขออนุญาตตรวจใบขับขี่คนขับรถเก๋งคันหนึ่ง แต่ไม่ยอมให้ตรวจ อ้างรู้จักนายตำรวจระดับสูงในพื้นที่ จนเกิดการโต้เถียงเล็กน้อย ก่อนที่ตำรวจเกิดความเกรงใจ และปล่อยรถเก๋งคันนั้นไป เวลาต่อมาตำรวจชั้นผู้น้อยกลับถูกย้ายสายงานอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนมีคลิปออกมาเผยแพร่ผ่านโซเชียลฯ

เหตุการณ์นี้กลายเป็นปรากฏการณ์เกิดวลีเด็ด “เพื่อนโชค” สะท้อนเรื่องการใช้อำนาจบารมี หรือเส้นสายของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการกล่าวถึง “เหตุความไม่เท่าเทียม เสมอภาคทางสังคม” จนเป็นประเด็นหยิบยกขึ้นมาในเชิงล้อเลียน...

แต่การตั้ง “ด่านตรวจ” ของเจ้าหน้าที่รัฐ เคยถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นถกเถียงในเรื่องข้อการปฏิบัติกับประชาชนมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เพราะต่างฝ่ายต่างตีความ...ยกข้อกฎหมายมากล่าวอ้างซึ่งกันและกัน ตามสิทธิของตัวเอง กลายเป็น “ข้อพิพาท” เกิดกระแสขึ้นบ่อยครั้ง...

ในการปฏิบัติระหว่างตั้งด่าน หรือสิทธิของประชาชนตามกฎหมายนั้น ทัศไนย ไชยแขวง อุปนายก ฝ่ายต่างประเทศ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ข้อมูลว่า เมื่อประชาชนเห็น “จุดตรวจ” มักเหมารวม “เป็นด่าน” ทั้งหมด แต่การตั้งด่านแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.ด่านตรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้น จับกุม ในเขตทางเดินรถ 2.จุดตรวจ การปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้น จับกุม ในเขตทางเดินรถ และทางหลวง จำกัดไม่เกิน 24 ชม.

ข้อปฏิบัติการด่านตรวจและจุดตรวจ มีอำนาจลดหลั่นต่างกันตามความจำเป็นของภารกิจที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ต้องมีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีแผ่นป้ายชื่อหัวหน้าชุดปฏิบัติ และเครื่องหมายการจราจร “หยุด” ในเวลากลางคืน ต้องมีแสงไฟส่องสว่างให้มองเห็นไม่น้อยกว่า 150 เมตร และในการตรวจค้น จับกุม ต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. ซึ่งทั้ง 2 ประเภท ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง

...

ประเภทที่ 3 จุดสกัด ภารกิจในกรณีมีเหตุฉุกเฉิน หรือจำเป็นเร่งด่วนเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น

ต้องยอมรับว่า...ด่านตรวจแอบตั้งกันเอง ที่ผู้บังคับบัญชาไม่ทราบเรื่องก็มีอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงจุดเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะตั้งด่านตรวจ มีการขออนุญาตตามลำดับชั้นของผู้บังคับบัญชา ถูกต้องตามกฎหมาย และมีอำนาจเต็มในการปฏิบัติหน้าที่เรียกตรวจ ค้น จับกุม สกัดกั้นผู้กระทำความผิด

สาระสำคัญ...ไม่ได้อยู่ที่ประเภทการตั้งด่านตรวจ หรือขออนุญาตถูกต้องตามระเบียบหรือไม่ เพราะไม่มีผลต่อการจับกุมผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย...ให้เป็นโมฆะไปได้ หรือหลุดรอดจากความผิดที่ตัวเองก่อขึ้น!

เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว...การจับกุมย่อมชอบด้วยกฎหมายทุกประการอยู่แล้ว

ยกตัวอย่าง...เมื่อครั้ง 10 ปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาด้วยวิธีการไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือ อุ้มขึ้นรถ...ไม่แสดงหมายจับ พร้อมกับทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน ทำการ

สอบปากคำ ตามขั้นตอนของกฎหมายในสถานีตำรวจ และมีการรับสารภาพ พร้อมมีพยานหลักฐานครบถ้วน ส่งฟ้องศาล ก็ถือว่าชั้นพนักงานสอบสวนนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว เพราะกฎหมายเน้นยึดหลักการสอบสวน และไม่ได้บัญญัติเรื่องขั้นตอนการจับกุม ต้องปฏิบัติอย่างไร

จุดประสงค์ของการตั้งด่านตรวจ คือ ตรวจสอบคนทำความผิดด้านการจราจร ทั้งสภาพรถ ข้อบังคับการชำระภาษีประจำปี เมาสุราแล้วขับขี่ เพื่อจัดระเบียบความปลอดภัยบนถนน รวมถึงการป้องปรามผู้ก่ออาชญากรรม ในการป้องกันด้านความมั่นคง หากประชาชนมั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์...

ไม่เคยกระทำความผิด และรถที่ใช้ขับขี่มีเอกสารถูกต้องตามกฎระเบียบครบถ้วน ก็ไม่น่าที่ต้องกังวลเรื่องด่านตรวจ...

ทั้งนี้ การตั้งด่านตรวจนั้น ผู้ปฏิบัติย่อมมีอำนาจขอดูใบขับขี่ ตรวจค้นตามกฎหมายอยู่แล้ว...หากผู้ขับขี่ไม่ยอมแสดงใบขับขี่ อาจมีสิทธิถูกแจ้งข้อกล่าวหา “ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน” ตามกฎหมายอาญา ม.368 ผู้ใดทราบคำสั่งของเจ้าพนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน และปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แถม...แอบอ้างรู้จักคนใหญ่...คนโต หรือข้าราชการระดับสูง พร้อม “ข่มขู่” จนถึงขั้นเกิดความกลัว ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่อันชอบด้วยกฎหมาย อาจมีความผิดข่มขู่เจ้าพนักงาน ตาม ม.139 คือ...

ผู้ใดข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 8 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หนำซ้ำ...หากผู้ขับขี่มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร 2522 ม.43 (2) เมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่นขณะขับขี่ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจเรียกหยุดตรวจ ตาม ม.142 วรรค 2 เพื่อทดสอบผู้ขับขี่ว่าหย่อนความสามารถในการขับขี่หรือไม่ หากไม่ยอมตรวจทดสอบ สามารถกักตัวดำเนินการทดสอบภายในเวลาเท่าที่จำเป็น

“ผู้ขับขี่นั้น...ยังไม่ยอมทดสอบอีก ที่เชื่อว่าขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นมีอาการมึนเมา...” ทัศไนย ว่า

กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีเหตุต้องสงสัย...พิรุธของการกระทำความผิด มีอำนาจหน้าที่เรียกตรวจประชาชนได้เสมอ แม้แต่การขอตรวจความผิดด้านการจราจร หากประชาชนได้ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นอย่างเต็มที่แล้ว และมีเหตุอันเกรงกลัว หรือเกิดความระแวงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

สามารถใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน

ทว่า...การตรวจค้นพบว่า มีสิ่งผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง จะด้วยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ตามหลักเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแจ้งข้อกล่าวหาในชั้นจับกุม ในส่วนสิทธิของบุคคลนั้นสามารถปฏิเสธได้ หรือ ชี้แจงสิทธิตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรสร้างอารมณ์ให้เกิดการโต้เถียงระหว่าง 2 ฝ่าย

เพราะไม่เกิดประโยชน์...อาจเกิดความสุ่มเสี่ยงต่อผู้ถูกกล่าวหา

หนำซ้ำ...บางครั้งการเกิดการโต้เถียงที่ไม่มีพฤติกรรมขัดขวางต่อสู้ เช่น แค่เพียงสะบัดมือตามปฏิกิริยาป้องกันตัวของคน อาจทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจผิด แจ้งข้อหาขัดขวาง และใช้ยุทธวิธีควบคุมจับกุมเกินกว่าเหตุขึ้น กลายความเสียเปรียบมากขึ้นกว่าเดิม

ต้องเข้าใจตามหลัก “จุดตรวจ” มักมีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์น้อย ส่วนใหญ่มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ดังนั้น ควรไปให้ปากคำในชั้นพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจดีกว่า เพราะมีผู้คนพลุกพล่าน ปลอดภัย และสามารถใช้สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาได้อย่างเต็มที่

มีทั้งสิทธิพบปรึกษาทนายความ หรือประสงค์แจ้งให้ญาติผู้ไว้วางใจทราบถึงการจับกุม ที่สามารถดำเนินการได้โดยสะดวก ซึ่งพนักงานสอบสวน จะเป็นผู้อนุญาตให้ผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามสมควร

สุดท้ายนี้...ต้อง “เข้าใจ” และ “เห็นใจ” ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะหากเจ้าพนักงานไม่ปฏิบัติ ตรวจ ค้น จับกุม อาจเข้าข่ายความผิด ป.อ.ม.157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ส่วนประชาชน...คิดว่าตัวเองบริสุทธิ์อยู่แล้ว การให้ดูใบขับขี่ ตรวจค้น ก็ไม่น่ามีความกังวลใจอะไร แต่หากไม่ให้ตรวจตามนั้น จะเกิดปัญหา...อาจเข้าข่ายความผิด ป.อ.ม.368 ในเรื่องขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

รู้หน้าที่...รู้สิทธิ...ปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน...ก็จะไม่เกิดข้อพิพาทโต้เถียงกันขึ้นจนเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว และ...ยิ่งทำให้สังคมน่าอยู่มากกว่าเดิม.