"สามารถ" โพสต์ "เมื่อโฮปเวลล์พ่นพิษ" ย้อนที่มา มหากาพย์ ต่างฝ่ายฟ้องกันนัว แนะทำ 3 ข้อ หวั่นเสียค่าโง่ไม่รู้จบ หากให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด...
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte" กรณีศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาพิพากษาให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์เป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากกรณีบอกเลิกสัญญาโครงการโฮปเวลล์โดยไม่เป็นธรรม
โดยระบุว่า โครงการโฮปเวลล์ มีผลบังคับตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2534 โดยต้องสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 8 ปี หรือ ภายในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 มีอายุสัมปทาน 30 ปี นับแต่วันที่สัญญามีผลบังคับ
บริษัทโฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้รับสัมปทานโครงการนี้ เล็งที่จะพัฒนาโครงการนี้ควบคู่ไปกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ รฟท. หลายพื้นที่รวมกันประมาณ 600 ไร่ โฮปเวลล์รู้ดีว่าจะหวังผลตอบแทนการพัฒนาโครงการ จากการเก็บค่าทางด่วนและค่าโดยสารรถไฟอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องหารายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย จึงจะช่วยทำให้โครงการคุ้มทุนได้
แต่การดำเนินงานของโฮปเวลล์ ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากปัญหาทางการเงิน ประกอบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถึงจุดถดถอย แต่โฮปเวลล์อ้างว่า เป็นเพราะ รฟท. ส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนงาน
...
กระทรวงคมนาคมและ รฟท.ได้ให้โอกาสโฮปเวลล์มาโดยตลอด มีหนังสือแจ้งเตือนเป็นระยะๆ แต่งานก่อสร้างก็ยังล่าช้าอยู่ เมื่อรู้แน่ชัดว่า โฮปเวลล์ ไม่สามารถสานฝันให้เป็นจริงได้ กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จึงบอกเลิกสัญญาสัมปทานกับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2541 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 เป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันทั้งสองฝ่าย
ในที่สุดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. จ่ายเงินชดเชยให้โฮปเวลล์เนื่องจากบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรมเป็นเงินจำนวน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี
ต่อจากนั้น กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ได้ฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งในวันที่ 13 มีนาคม 2557 ศาลปกครองชั้นต้น ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ทำให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้โฮปเวลล์ แต่โฮปเวลล์ไม่พอใจในคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด
ซึ่งในวันที่ 22 เมษายน 2562 ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท.จ่ายค่าเสียหายให้แก่โฮปเวลล์เป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ดังกล่าวแล้วข้างต้น
การพิพากษาโดยศาลปกครองไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุดก็ตาม เป็นการพิจารณาดูว่ากระบวนการทำงานของอนุญาโตตุลาการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่ไม่ได้ดูเนื้อหารายละเอียดว่า ฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาหรือประพฤติผิดสัญญา ซึ่งเป็นหน้าที่ของอนุญาโตตุลาการ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ศาลปกครอง ตรวจสอบลึกถึงคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสัญญาที่ระบุว่ากรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้นำข้อพิพาทเสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดนั้นจะต้องใช้เวลาในการวินิจฉัยชี้ขาดนาน เนื่องจากจะต้องผ่านทั้งการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการและการพิพากษาของศาลปกครอง
ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นประโยชน์ของคู่สัญญา ผมขอเสนอแนะให้ระบุในสัญญาไว้ว่ากรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้นให้นำข้อพิพาทไปฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งมีตุลาการที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์คดีทางปกครองทุกประเภท ทำให้การไต่สวนได้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงว่าฝ่ายใดปฏิบัติตามสัญญาหรือประพฤติผิดสัญญา การทำเช่นนี้มีข้อดีดังนี้
1. การพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งสามารถกระทำให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องผ่านการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ
2. ประหยัดดอกเบี้ยเนื่องจากคดีสิ้นสุดได้เร็วกว่า ทำให้ระยะเวลาที่ต้องชำระค่าดอกเบี้ยลดลง เป็นประโยชน์ต่อผู้แพ้คดี
3. เป็นการพิจารณาพิพากษาที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีการถ่วงดุลการใช้อำนาจทั้งภายในองค์คณะตุลาการ และระหว่างองค์คณะกับตุลาการผู้แถลงคดี ทำให้ได้คำพิพากษาที่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง
หากสัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนยังคงเป็นสัญญาอนุญาโตตุลาการ เช่นนี้ ในอนาคตเราจะต้องเสีย “ค่าโง่” จากอีกหลายโครงการ.
ที่มาจาก เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte