ค่านิยม และทัศนคติของคนส่วนใหญ่ มักจะมองว่า การรับราชการ เป็นอาชีพที่มั่นคงสูง แม้ในช่วงปีแรกๆ ของการรับราชการเงินเดือนอาจจะน้อย แต่ช่วงบั้นปลายชีวิตจะมั่นคง ด้วยเงินบำเหน็จบำนาญที่จะหล่อเลี้ยงไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งยังไม่รวมความก้าวหน้า และสิทธิในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของทั้งตนเอง และครอบครัว ทำให้ใครๆ ก็อยากให้ลูกๆ หลานๆ ได้รับราชการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ยึดติดกับค่านิยมเดิมๆ เช่นเดียวกับ "ร.ท.ภาคภูมิ ยาปัน" หรือ ตี๋ เปิดใจกับ "ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์" หลังจากตัดสินใจลาออกจากราชการทหารอากาศ ว่า ตำแหน่งสุดท้ายก่อนออกจากราชการ คือ นายทหารเทคโนโลยีสารสนเทศ กทศ. กรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทหารอากาศ ตัวผมเองจบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 50 และโรงเรียนนายเรืออากาศ รุ่น 57

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปตอนผมเรียน ม.3 ตอนนั้นก็ไม่มีใครมาบังคับให้ผมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งผมเชื่อว่า ตอนเด็กๆ หลายคนก็มีความใฝ่ฝันที่จะเป็น ทหาร หรือเป็น ครู ตำรวจ หมอ ความคิดของเด็กๆ ก็จะประมาณนี้ ตอนนั้นผมก็อยากเป็นหมอนะ
...
ตี๋ บอกว่า ช่วงวัยรุ่นเราก็เห็นเพื่อนไปสอบ เราก็เห็นว่าเท่ ที่สำคัญโอกาสนี้มาก่อน เพราะเราสอบโรงเรียเตรียมทหารติดพอดี เราก็เลยคว้าไว้ ซึ่งตรงนั้นก็มีจุดเปลี่ยน คือ ถ้าเราลาออกก่อนจะต้องเสียค่าปรับ ที่บ้านผมก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย ถ้าออกก็ต้องเสียค่าปรับประมาณ 70,000 บาท ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อ และที่สำคัญ ตอนทำสัญญาเข้าเรียน พ่อกับแม่ผมยังต้องนำทองไปจำนำเพื่อนำมาจ่ายเงินค่าเรียนให้
"ตั้งแต่เรียนผมก็ไม่เคยขอเงินพ่อแม่เลย เพราะผมเปิดแฟนเพจสอนติว ให้ความรู้คนที่จะเข้ามาเรียนเตรียมทหาร แทบไม่ต้องขอเงินของที่บ้านเลย ผมจะชอบงานด้านการตลาด ประชาสัมพันธ์ พวกไอที ตอนรับราชการ ผมก็มีงานพวกสตาร์ทอัพด้วย"

สำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดลาออกจากราชการ ตี๋ เล่าวว่า "ตอนผมรับราชการอยู่นั้น ผมก็อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดมุ่งหมาย เหมือนคนกำลังจะหมดไฟ และไฟกำลังจะมอด จริงๆ ผมอยากย้ายไปอยู่หน่วยกิจการพลเรือน แต่ก็ถูกตีกลับ ผู้ใหญ่บอกไปที่นั่นไม่รุ่ง แต่ในมุมของผมไม่ได้อยากรุ่ง แค่อยากทำในสิ่งที่ผมถนัดและมีความสุข"
ขณะเดียวกัน ช่วงนั้นถ้าผมลาออกจะต้องโดนค่าปรับประมาณ 6 แสน ซึ่งตอนนั้นผมทำงานราชการใช้ทุนไปแล้ว 4 ปี ก็เลยตัดสินใจลาออกกมาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และถนัด ซึ่งตอนลาออกไม่ได้บอกครอบครัวเลย เพราะเราคิดว่า ชีวิตเรา เราเลือกเองทั้งหมด
ทั้งนี้ ผมก็เคยปรึกษาที่บ้านมาก่อนหน้านี้ คือ เราก็มองย้อนไปดูเพื่อนๆ ที่จบมาพร้อมกัน บางคนเป็นวิศวกร บางคนเป็นหมอ บางคนประกอบอาชีพอื่นๆ แต่เขามีเงินมากกว่าเรา คือ เงินเดือนเราก็ไม่เยอะ เราก็ไม่เคยส่งให้ที่บ้านเลย ซึ่งเราก็ต้องหารายได้เสริม พอเราลาออกมาทำธุรกิจเอง เรากลับมีเงินส่งให้ที่บ้านเดือนละหลายหมื่น


"ทีแรกไม่กล้าพูด เพราะพ่อก็จะบอกว่าจะออกจากข้าราชการทำไม เงินเดือนน้อยก็ไม่เป็นไร ผมก็อธิบายให้ที่บ้านฟัง แม่ก็จะถามตลอดว่า จะออกแล้วเหรอ เราก็อธิบายไป แต่วันที่ผมตัดสินใจลาออกไม่ได้ถามใคร เขียนใบลาออกเลยช่วงปลายเดือนกันยายน 2561 และมีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา"
นอกจากนี้ ญาติๆ ที่รู้ข่าวว่าลาออก ก็จะบอกกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ออกทำไม แต่ผมมองว่า ชีวิตเรา ต้องเลือกเอง พนักงานบริษัท พนักงานออฟฟิ ศก็ย้ายงาน ย้ายบริษัทได้ แต่ทำไมเราเป็นข้าราชการจะต้องถูกตีกรอบว่า ห้ามย้าย ห้ามลาออก มันจะดูกลายเป็นเรื่องใหญ่
ตี๋ กล่าวอีกว่า เพื่อนๆ ผมหลายคนก็อยากจะลาออกจากราชการเหมือนกัน เพื่อนก็มีอิจฉาผมที่ออกมาได้ แต่บางคนออกไม่ได้เพราะต้องเสียค่าปรับ 5-10 ล้าน แต่บางคนก็มองว่าราชการคือความมั่นคง บั้นปลายชีวิตไม่ลำบาก แต่ผมมองว่า ตอนนี้ไฟเรากำลังจะมอด รายได้ที่เรามีก็ไม่ได้เยอะ ในขณะที่เรากำลังมีกำลังเราน่าจะทำอะไรที่มีความสุขดีกว่า เงินทีไหนก็หาได้ ไม่ใช่แค่ข้าราชการ
"ผมอยากทำงานในสิ่งที่เราอยากทำ ผู้ใหญ่ก็มองว่าตรงนี้ดีกว่า ทำให้ผมก็รู้สึกอึดอัด ผมทำงานกับคนรุ่นเก่า ผมอยากนำนวัตกรรม เอาไอทีเข้าไปปรับใช้ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนเรื่องระบบรุ่นพี่รุ่นน้องบางทีก็ดี แต่บางครั้งมันก็ดูไม่ยุติธรรม ความก้าวหน้ามีแต่ต้องใช้เวลา"

ทั้งนี้ ผมอยากมีความสุขตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้ผมอายุ 30 ปี ถ้าต้องรอให้หมดสัญญา 10 ปี ตอนนั้นก็อายุ 35 บางทีก็อาจจะหมดไฟแล้วก็ได้ ก่อนออกมา หัวหน้าผมก็เล่าให้ฟังว่า อยากลาออกเหมือนกัน แต่ออกไม่ได้เพราะต้องอยู่ใช้ทุนก่อน เพราะเขาจบต่างประเทศมา หนี้หลายล้าน พอสัญญาครบ 10 ปี ตอนนั้นอายุ 40 ปีแล้ว ก็ไปไม่ได้
"ทำให้ผมคิดได้ว่า ตอนนี้ถ้าเรามีแรงก็ออกไปต่อสู้ ก่อนหน้าก็มีเพื่อนสนิทผมที่ลาออกไปก่อน และไปดูแลเรื่องระบบความปลอดภัยของธนาคารอันดับต้นๆ ของประเทศ เขาก็บอกเหมือนกันว่า จริงๆ แล้ว คนเก่งๆ ที่สอบติดนักเรียนนายร้อย ถ้าได้ออกมาแสดงความสามารถจะแจ้งเกิดได้ง่ายมาก ทำให้ผมคิดว่า พวกเขาควรอยู่ในจุดที่เขาแสดงศักยภาพ"
ปัจจุบัน ตี๋ มาทำธุรกิจร่วมกับเพื่อนที่เป็นหมอ ทำคลินิกดูแลผิวพรรณ และความงาม ที่จังหวัดเชียงราย ชื่อ Attitude Clinic ซึ่งเขารับหน้าที่เป็นผู้จัดการ ดูแลเรื่องการตลาดออนไลน์ โดยตั้งเป้าจะเป็นคลินิกความงามอันดับหนึ่งของเชียงราย และอยากจะพัฒนาตลาด เปิดคลินิกเพิ่มขึ้นเพื่อดึงฐานลูกค้าต่างประเทศ เช่น เมียนมา และลาว ในอนาคต