เจ้าของคณะกระตั้วแทงเสือ คณะศิษย์วัดสิงห์ งานเข้าหลังถูกคนโยงว่าเป็นพวกเดียวกับโจ๋งานบวชบุกโรงเรียนวัดสิงห์ เผยมือมืดยิงถล่มบ้าน วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น บอกชัดๆ พวกนี้ไม่ใช่พวกผม
เมื่อวันที่ 26 ก.พ.62 นายไพศาล สุวรรณชัย อายุ 43 ปี เจ้าของคณะกระตั้วแทงเสือ คณะศิษย์วัดสิงห์ และเป็นรองประธานชุมชนวัดสิงห์ เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.วณัฐพงศ์ สุขชื่น รอง สว.(สอบสวน) สน.บางขุนเทียน กรณีได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โจ๋บุกรุกโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ทำร้ายร่างกายครูอาจารย์ นักเรียน และลวนลามนักเรียนหญิงระหว่างการสอบ GAT/PAT เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา
นายไพศาล ให้การว่า ตนกับ นายวัลลภ นุชแฟง หรือเอกไฝ อายุ 32 ปี เจ้าของคณะกระตั้วแทงเสือ ศิษย์หลวงพ่อขาว รู้จักกันมาก่อนจริง ในฐานะคนในวงการเดียวกัน ในวันเวลาที่เกิดเหตุคณะของตนไม่ได้รับงานเข้าร่วมแสดงในงานแห่นาคอุปสมบทแต่อย่างใด มีเพียงคณะของนายวัลลภเท่านั้นที่เดินทางเข้าร่วมงานกระทั่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แล้วจากนั้นทางโลกโซเชียลก็มาเหมารวมว่าคณะของตนเข้าร่วมก่อเหตุด้วย ซึ่งไม่เป็นความจริงแน่นอน
ไม่เพียงเท่านั้น "ขณะนี้ผมและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนจากการถูกคุกคามอย่างหนักเนื่องจากคืนวันที่เกิดเหตุ ช่วงกลางดึก ขณะที่ผมและครอบครัวรวมถึงลูกศิษย์ลูกหา รวมเกือบ 10 คน กำลังนั่งพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น จู่ๆ ก็มีคนร้าย 2 คน ใช้จักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อ สี และรุ่น ขับมาจอดบริเวณทางเข้าบ้าน ก่อนที่คนซ้อนท้ายจะใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาด ยิงเข้ามาใส่พวกตน 1 นัด แล้วพากันเร่งเครื่องหลบหนีไป"
ทั้งนี้ พวกตนหลบกระสุนกันจ้าละหวั่น โชคดีไม่ถูกใคร แต่หลังจากนั้นก็ยังมีกระแสสังคมโจมตีกระตั้วแทงเสือ คณะศิษย์วัดสิงห์ ตามโลกโซเชียลอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเข้าใจผิด ทั้งที่พวกตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงตัดสินใจเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 25 ก.พ. เพื่อลงบันทึกประจำวันเอาไว้ แล้วเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำในวันนี้
...
"ผมอยากชี้แจงว่า ผมทั้งครอบครัว พ่อ และแม่ รวมถึงลูกสาว เป็นชาวบ้านในชุมชนวัดสิงห์มาแต่กำเนิด ทุกคนในครอบครัวก็เรียนจบจากโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาอะไรกับทางวัดและทางโรงเรียน จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ด้วยเนื่องจากรู้สึกไม่ปลอดภัย"
นายไพศาล กล่าวว่า ด้าน ร.ต.ท.วณัฐพงศ์ หลังรับแจ้งความและสอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นการเบื้องต้นแล้ว ได้รายงานไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อประสานฝ่ายสืบสวน ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ กล้องวงจรปิด และสอบสวนพยาน หาเบาะแสติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.